ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1264 นายอยากจะพูดเรื่องอะไรกันแน่
เมื่อเย่เสี่ยวอี้เห็นฟางยู่เชินเดินเข้ามา ก็ดีใจมากจนอยากจะลุกขึ้นนั่ง
แต่กลับถูกซ่างหยิงห้ามเอาไว้เสียก่อน
“นอนอยู่เฉยๆ นี่แหละ ไม่ต้องลุกหรอก”
เย่เสี่ยวอี้ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของฟางยู่เชิน
ความรักใคร่ชื่นชมในดวงตาแสดงออกมาอย่างชัดเจน
“เธอรู้สึกยังไงบ้าง?” ฟางยู่เชินถาม
“ฉัน……ยังรู้สึกไม่สบายอยู่นิดหน่อย แต่พอได้เจอคุณแล้ว ก็หายทันทีเลยค่ะ”
เย่เสี่ยวอี้ไม่สนใจคำห้ามปรามของซ่างหยิง ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พร้อมจับมือเขาไว้ “ยู่เชิน ที่จริงแล้วคำพูดพวกนั้นที่คุณพูดมันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?”
หลังจากถามเสร็จ เย่เสี่ยวอี้ก็มองฟางยู่เชินอย่างคาดหวังตั้งตารอ
“ฉัน……”
“อะแฮ่ม!”
ขณะที่ฟางยู่เชินกำลังจะตอบ จู่ๆ ฟางเถิงก็กระแอมขึ้นมาเบาๆ เพื่อขัดจังหวะคำพูดของเขา “เสี่ยวอี้ มันไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางยู่เชินหันศีรษะไปมองเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฟางเถิงทำเมินเหมือนมองไม่เห็น และพูดเกลี้ยกล่อมต่อ “หนูไม่ต้องคิดมากนะ เขาเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองมาตลอด ไม่ชอบถูกใครมาบงการจัดการ เอาไว้พวกหนูค่อยๆ คบหากันไป เดี๋ยวความสัมพันธ์มันก็จะดีขึ้นเอง”
“พ่อ นี่พ่อกำลังพูดอะไร?”
ฟางยู่เชินไม่เข้าใจสิ่งที่เขากำลังพูดในตอนนี้
ทั้งๆ ที่เคยบอกเขาไปแล้วแท้ๆ ว่าตัวเองกับเวยเวยกำลังคบกัน แต่เขายังจะพูดคำพูดพวกนั้นกับเย่เสี่ยวอี้อีก
“ยู่เชิน ที่นี่คือบ้านตระกูลเย่เก็บอารมณ์ร้ายของแกเอาไว้ซะ!”
ฟางเถิงกระซิบพูดตำหนิเขา
ฟางยู่เชินรู้ดีว่าพ่อกำลังพูดเตือนเขาว่าอย่าพูดอะไรมั่วซั่ว แต่ถ้าเขาไม่ยอมชี้แจงเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ปัญหาสัญญาการแต่งงานก็จะไม่มีทางแก้ได้
เขาเอ่ยปากพูดออกไปตามตรงว่า “เสี่ยวอี้ เรื่องการแต่งงาน ฉันคิดว่าพวกเราจำเป็นต้องปรึกษาหารือกันใหม่”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกพ่นออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่เสี่ยวอี้จางหายไปในทันที “คุณหมายความว่าไง?”
“ใช่ เธอหมายความว่ายังไง?” แม่เย่พูดถาม
“ความหมายตามตัวอักษรครับ” ฟางยู่เชินตอบกลับอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
เย่เสี่ยวอี้ขมวดคิ้วแน่น “คุณอยากยกเลิกสัญญาการหมั้นเหรอ?”
ฟางยู่เชินไม่ได้ตอบคำถามออกไปตามตรง พูดเพียงว่า “เสี่ยวอี้ ฉันไม่ได้ชอบเธอ ถ้าให้พวกเราฝืนแต่งงานกันไป เธอจะต้องไม่มีความสุขแน่นอน”
“แต่ฉันชอบคุณนะ!” เย่เสี่ยวอี้อารมณ์ขึ้นเล็กน้อย “ฉันชอบคุณมากขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกอะไรกับฉันสักนิดเลยเหรอ?”
ฟางยู่เชินก้มหน้า “ขอโทษนะ”
เย่เสี่ยวอี้ร้องไห้ออกมา เธอพลางร้องไห้พลางพูดตำหนิเขาไปด้วยว่า “คุณทำลายหัวใจของฉันแบบนี้ได้ยังไง? คุณทำเกินไปแล้ว เกินไปแล้ว ฮือ!”
พอเธอร้องไห้ออกมาแบบนี้ ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนต่างตื่นตระหนกกันไปหมด คนปลอบก็ปลอบ คนด่าก็ด่า
“เสี่ยวอี้ อย่าร้องนะ ไม่ว่าเขาพูดอะไรก็ไม่นับทั้งนั้น” ซ่างหยิงช่วยเย่เสี่ยวอี้เช็ดน้ำตาพลางพูดปลอบใจ
ฟางเถิงลากฟางยู่เชินออกไปอีกทาง พลางร้องตำหนิเสียงเข้ม “แกรู้ไหมว่าแกกำลังทำอะไรอยู่? แกอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลแตกหักกันหรือไง?”
“พ่อ เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว” ฟางยู่เชินเหลือบมองเย่เสี่ยวอี้ที่ยังคงร้องไห้ตาแดงก่ำ “ยิ่งเธอรู้เร็ว ก็จะยิ่งปล่อยวางได้เร็ว”
ยิ่งเรื่องราวยืดเยื้อนานออกไปเท่าไหร่ ความเสียหายต่อเย่เสี่ยวอี้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ฟางเถิงขมวดคิ้ว ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา “นับตั้งแต่นี้ แกไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ปัญหานี้ฉันจะหาทางแก้เอง”
“แต่พ่อครับ……”ฟางยู่เชินอยากจะบอกว่าให้เขาเป็นคนแก้ปัญหาเอง และหยุดพูดเรื่องที่จะทำให้เย่เสี่ยวอี้เข้าใจผิดได้แล้ว
ฟางเถิงตบๆ ไหล่เขา เพื่อแสดงออกว่าเขาไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
จากนั้นก็เดินเข้าไปพลางพูดกับพ่อเย่แม่เย่ว่า “ฉันคิดว่าเรื่องแต่งงานพวกเราควรจะมาปรึกษาหารือกันดูใหม่จริงๆ ปล่อยให้เด็กทั้งสองคนคุยกันเองตามลำพังก่อนเถอะ”
พ่อเย่แม่เย่มองหน้ากันแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายทยอยเดินออกไปทีละคน ขณะที่เดินผ่านหน้าของฟางยู่เชิน ฟางเถิงชะงักฝีเท้า พลางกระซิบพูดเสียงเบา “จำไว้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด จะทำอะไรก็ให้คิดถึงตระกูลฟาง ต่อให้แกจะไม่อยากแต่งงาน แต่ก็อย่าทำให้ตระกูลเย่ขุ่นเคืองเด็ดขาด”
ฟางยู่เชินใบหน้านิ่งเฉย ไม่พูดไม่จาอะไร
ฟางเถิงตบไหล่เขา “พ่อรู้ว่าแกเป็นเด็กฉลาด”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ ก็เดินออกไปข้างนอก
ประตูห้องถูกปิดลงอย่างแผ่วเบา
ภายในห้องเงียบลง ได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของเย่เสี่ยวอี้
ฟางยู่เชินถอนหายใจแล้วเดินเข้าไป “หยุดร้องได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้น เย่เสี่ยวอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา “ฉันมีอะไรไม่ดีตรงไหนเหรอ คุณถึงไม่ชอบฉัน?”
“เธอดีมาก”
คำตอบของเขาทำให้เย่เสี่ยวอี้หัวเราะออกมา ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ยถากาง “ถ้าฉันดีมากจริงๆ คุณคงจะไม่ไม่ชอบฉันแบบนี้หรอก!”
ฟางยู่เชินเงียบขรึมไป
จู่ๆ เย่เสี่ยวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาและพูดว่า “คุณชอบเหลียงซินเวย”
มันเป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม
ฟางยู่เชินค่อยๆ กำมือที่วางข้างลำตัวแน่นขึ้น แต่ยังไม่พูดอะไร
เย่เสี่ยวอี้ถือว่าเขายอมรับไปโดยนัย ก่อนจะพูดประชดประชันว่า “ผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไร? เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณไม่รู้สึกว่าเธอไม่คู่ควรกับคุณเหรอคะ?”
“เขา……”
ฟางยู่เชินเพิ่งจะอ้าปาก แล้วประตูห้องก็ถูกใครบางคนลักเข้ามา
ซึ่งก็คือเย่เฉินหยุน
เขามองไปที่ฟางยู่เชินกับเย่เสี่ยวอี้ที่อยู่ภายในห้อง ก่อนจะยิ้มขอโทษ “ขอโทษทีที่ฉันมารบกวนพวกนาย”
เย่เสี่ยวอี้เหลือบมองฟางยู่เชิน แล้วถามว่า “พี่ พี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันอยากจะคุยกับยู่เชินหน่อย”
“ฉัน?” ฟางยู่เชินแปลกใจเล็กน้อย
เขาไม่สนิทกับเย่เฉินหยุน มีเรื่องอะไรให้ต้องพูดคุยกัน
เย่เฉินหยุนพยักหน้า “อืม นาย”
“ถ้าอย่างนั้นฉันออกไปก่อนนะ”
หลังจากบอกกับเย่เสี่ยวอี้แล้ว ฟางยู่เชินก็เดินออกไป
ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง
เย่เสี่ยวอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ยกผ้าห่มออกและลุกจากเตียงเดินเท้าเปล่าไปที่ประตู
……
เย่เฉินหยุนพาฟางยู่เชินมาที่ห้องหนังสือ
หลังจากปิดประตูลงแล้ว เย่เฉินหยุนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในใจของนายคงจะสงสัยมากใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงได้เรียกนายมา ทั้งที่พวกเราไม่ได้สนิทกัน”
ฟางยู่เชินยิ้ม “ฉันกำลังคิดแบบนั้นอยู่จริงๆ นั่นแหละ ฉะนั้น นายมีเรื่องอะไร?”
“อืม……” เย่เฉินหยุนคิดอย่างจริงจัง “อันที่จริงฉันอยากจะพูดกับนายเรื่องเวยเวย”
“เวยเวย?” ฟางยู่เชินตะลึงชะงักไป “นายอยากจะคุยเรื่องอะไร?”
เขายังจำได้ว่าในงานเลี้ยงฉลองครบรอบเมื่อครั้งก่อน เย่เฉินหยุนได้พาเหลียงซินเวยไปเจอพ่อเย่แม่เย่ แถมยังบอกอีกว่าเวยเวยเป็นผู้หญิงที่เขาชอบ
หรือว่าเขาจะชอบเวยเวยจริงๆ?
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ฟางยู่เชินก็อดหวาดระแวงในใจขึ้นมาไม่ได้
“ฉันรู้ว่านายกับเวยเวยคบหากันแล้ว” เย่เฉินหยุนกล่าว
ฟางยู่เชินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เธอบอกนายเหรอ?”
“อืม” เย่เฉินหยุนพยักหน้า
“นายเองก็ชอบเธอ?” ฟางยู่เชินถาม
เมื่อเห็นความหวาดระแวงของเขา เย่เฉินหยุนก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น “นายวางใจได้ ความชอบของฉันที่มีต่อเวยเวยเป็นแค่ความชอบแบบที่พี่ชายมีต่อน้องสาวก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความรักแบบหนุ่มสาว”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น แต่แววตาของฟางยู่เชินดูจะไม่ได้ผ่อนคลายความเครียดลงเลยสักนิด พลางถามต่อว่า “นายอยากจะคุยเรื่องอะไรกันแน่?”
เย่เฉินหยุนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวอี้”
ฟางยู่เชินเข้าใจทันที “นายเองก็อยากจะมาเกลี้ยกล่อมฉันด้วยเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่อยากให้นายใช้วิธีการที่อ่อนโยนประนีประนอมที่สุดมาแก้ไขปัญหาเรื่องสัญญาการแต่งงาน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟางยู่เชินก็ยิ้มออกมา “วิธีการอ่อนโยนประนีประนอมอะไรกัน? ผลัดไปเรื่อยๆ เหรอ?”