ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1281 ไม่เคยเข้าใจเขามาก่อน
เวลาสิบโมงตรง ฟางซื่อกรุ๊ปออกแถลงการณ์ เพื่อแก้ปัญหาและอธิบายคลิปวิดีโอจากอินเทอร์เนต
“เนื้อหาในคลิปวิดีโอเป็นความจริง แต่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน คุณเหลียงซินเวยไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ของคุณฟางยู่เชินและคุณเย่เสี่ยวอี้……”
เหลียงซินเวยอ่านเนื้อความในคำแถลงการณ์ทีละคำ ทันใดนั้นเสียงก็หยุดลง
หัวใจหล่นตุ้บไปที่ตาตุ่ม อะไรที่เรียกว่าไม่ได้ทำลายความสัมพันธ์ของฟางยู่เชินและเย่เสี่ยวอี้
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ แถลงการณ์ฉบับนี้เป็นการกันเธอออกไป แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นการยืนยันว่าฟางยู่เชินกับเย่เสี่ยวอี้มีความสัมพันธ์กันจริงๆ
เหลียงซินเวยปิดโทรศัพท์มือถือ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ยิ้มด้วยความขมขื่นเล็กน้อย ทั้งมีความดูถูกเหยียดหยามอยู่บ้าง
แถลงการณ์นี้เป็นการแสดงความหมายของฟางยู่เชินใช่หรือไม่
เขาไม่ใช่บอกว่าจะพยายามจัดการเรื่องการหมั้นหมายให้เร็วที่สุดหรอกหรือ ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์กันแล้ว จะจัดการอย่างไร……
เขาหมายความว่าอะไรกันแน่
ชั่ววินาทีนั้นเอง เหลียงซินเวยรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเข้าใจฟางยู่เชินมาก่อนเลย
เวลานี้เอง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมา
เธอคิดว่าเป็นฟางยู่เชินโทรมาอธิบายกับตนเอง แต่พอเห็น ไม่ใช่เขา แต่เป็นเย่เฉินหยุน
รับสาย เสียงห่วงใยของเย่เฉินหยุนที่อยู่ปลายสายนั้นก็ดังมา “เวยเวย คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
เหลียงซินเวยก้มหน้าหลบสายลงอย่างอ้างว้างโดดเดี่ยว “ฉันจะเป็นอะไรได้”
เย่เฉินหยุนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ผมเห็นแถลงการณ์ในคลิปแล้ว ผมต้องขอโทษคุณแทนน้องสาวของผมก่อน ขอโทษนะครับ”
เหลียงซินเวยขอบตาแดงก่ำ เธอเม้มปากแน่น กลัวว่าตนเองจะส่งเสียงร้องออกมา
“เพราะเรื่องนี้ พ่อแม่ผมต่างก็โกรธมาก อาจจะไปกดดันตระกูลฟาง ดังนั้นสิ่งที่เขียนในแถลงการณ์ คุณอย่าไปคิดมาก”
ได้ยินดังนั้น เหลียงซินเวยขมวดคิ้ว “ความหมายของคุณคือนี่ไม่ใช่ความคิดของฟางยู่เชิน”
“น่าจะใช่”เย่เฉินหยุนถอนหายใจ “คาดว่าตอนนี้เขาเองก็มีแรงกดดันอยู่มากทีเดียว”
เพราะคำพูดของเย่เฉินหยุน ความกังวลที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของเหลียงซินเวยก็ลดลงไปไม่น้อย
เธอควรจะเชื่อฟางยู่เชิน ไม่ควรจะไประแวงสงสัยเขา
“พี่เย่ ขอบคุณนะคะ”
เย่เฉินหยุนหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปถ้าเย่เสี่ยวอี้มาหาเรื่องคุณอีก คุณบอกผม ผมจะเกลี้ยกล่อมเธอเอง”
“อืม”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ก็วางสาย
เหลียงซินเวยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จ้องมองเบอร์โทรศัพท์ของฟางยู่เชินบนหน้าจอเขม็ง เธอกำลังลังเลว่าจะโทรหาเขาเพื่อถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นดีหรือไม่
แต่ก็เกรงว่าจะรบกวนการทำงานของเขาอีก
สุดท้ายเธอก็ล้มเลิกความตั้งใจ รอตอนค่ำค่อยโทรหาเขา
……
ณ ฟางซื่อกรุ๊ป
ฟางยู่เชินยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ใบหน้าหล่อคมคายเคร่งเครียด ดวงตาลึกล้ำราวน้ำหมึกคู่นั้น มองไม่ออกว่าเขามีความรู้สึกอะไรในตอนนี้
ก๊อกๆ !
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นภายในห้องทำงานที่เงียบสงบ
ฟางยู่เชินพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “เข้ามา”
ส้งหยาวเปิดประตูเข้ามา เดินตรงมาข้างๆ เขา “ท่านประธานครับ ส่งแถลงการณ์ตามที่ท่านประธานสั่งออกไปแล้วครับ”
ฟางยู่เชินส่งเสียง “อืม”ไม่ได้พูดว่าอะไร
สัมผัสได้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดีนัก ส้งหยาวไม่อยากรบกวนเขา จึงหมุนตัวเดินออกไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็นึกอะไรขึ้นได้ หมุนตัวหันมาเตือนว่า “ท่านประธานครับ ผมคิดว่าคุณควรจะโทรไปอธิบายกับคุณเหลียงสักหน่อยนะครับ แบบนี้จะดีกว่านะครับ”
พูดจบ ส้งหยาวก็ก้าวยาวๆ ออกไป
ตอนที่ปิดประตู เขามองเหลือบมองไปยังร่างที่อยู่ด้านหน้าของหน้าต่างกระจกบานใหญ่ ถอนหายใจเบาๆ
ไม่รู้ว่าตนเองตาฝาดไปหรือเปล่า ที่เห็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างแผ่อยู่ด้านหลังท่านประธาน
หลังจากที่ส้งหยาวออกไป ฟางยู่เชินก็ยืนอยู่อีกเกือบครึ่งชั่วโมง จึงหมุนตัวกลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะทำงาน
เขาเข้าไปอ่านความคิดเห็นของชาวเน็ตหลังจากที่ส่งคำแถลงการณ์ออกไป
ความคิดเห็นส่วนใหญ่ดีมาก ยังมีส่วนน้อยที่แสดงออกว่าไม่เชื่อ อีกทั้งยังด่าว่าเหลียงซินเวยด้วย
แต่เรื่องคลิปนี้ถือว่าจัดการเรียบร้อยแล้ว
ทว่า เขาจะเอ่ยปากบอกเลิกกับเวยเวยได้อย่างไร
ตอนกลางวัน เย่เสี่ยวอี้มา
เธอไม่สนใจการขัดขวางของส้งหยาว ผลักประตูเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานท่านประธานทันที
“ยู่เชิน”
ฟางยู่เชินเงยหน้าขึ้นมา ก็มองเห็นเย่เสี่ยวอี้เดินตรงมาหาตนเอง เขารีบลุกขึ้น ตะคอกว่า “ส้งหยาว แกทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ขวางเธอไว้”
ส้งหยาวหน้าเสีย “ท่านประธาน ผม……”
เขาอยากขวาง แต่ก็ขวางไว้ไม่อยู่!
เย่เสี่ยวอี้ถลึงตาใส่ส้งหยาว เชิดหน้าอย่างหยิ่งยโส “ฉันคือว่าที่ภรรยาท่านประธานของฟางซื่อกรุ๊ป เขาจะกล้าขวางฉันได้ยังไง”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ คุณอยากเข้ามาตามใจชอบ ออกไป!”ฟางยู่เชินหน้าบึ้ง ตะคอกเสียงดุ
เย่เสี่ยวอี้ไม่เห็นด้วยกับเขา “ฉันเป็นว่าที่ภรรยาของคุณนะ ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมาเพื่อส่งอาหารกลางวันให้คุณ”
พูดพลาง เธอก็หยิบกล่องข้าวแบบเก็บอุณหภูมิในมือวางไว้บนโต๊ะ “นี่ฉันทำเองเลยนะคะ ทำตลอดครึ่งวันเช้า คุณต้องทานให้เต็มที่เลยนะคะ”
ส้งหยาวที่อยู่ด้านหลังเธอแอบสบประมาทในใจว่า คุณหนูที่มีคนคอยปรนนิบัติรองมือรองเท้าอย่างเธอ อาหารที่เธอทำจะกินได้มั้ย
เขามองไปยังฟางยู่เชิน ในสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ
“มีผู้ช่วยสั่งอาหารให้ผมแล้ว ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก เอากลับไปเถอะ”ฟางยู่เชินปฏิเสธความหวังดีของเธอไปตรงๆ
“ไม่เอา! ฉันไม่เอากลับไปหรอก ฉันจะอยู่ที่นี่ดูคุณกินมัน”
เย่เสี่ยวอี้เดินอ้อมโต๊ะไป มาที่ข้างๆ เขา ลากแขนเขาไปที่โซฟา
“ข้าวนี้ต้องทานตอนร้อนๆ ไม่งั้นเย็นแล้วก็จะไม่อร่อย”
เธอกดฟางยู่เชินลงบนโซฟา จากนั้นหมุนตัวเดินไปหยิบกล่องเก็บอุณหภูมิบนโต๊ะ
“อ้อ ใช่แล้ว คุณออกไปก่อนเถอะ”ตอนที่ผ่านหน้าส้งหยาว เธอก็ชะงักฝีเท้าพูดกับเขา
ส้งหยาวมองไปยังฟางยู่เชิน เพื่อถามความเห็นของเขา
เห็นแค่ฟางยู่เชินพยักหน้าเบาๆ
ส้งหยาวจึงได้ออกไปอย่างสบายใจ พร้อมปิดประตูด้วยความใส่ใจ
“ฉันถามคุณน้ามาแล้ว เธอบอกว่าคุณชอบกุ้งผัดเปรี้ยวหวาน แล้วก็ซี่โครงหมูตุ๋น ดังนั้นฉันจึงเรียนทำอาหารสองอย่างนี้”เย่เสี่ยวอี้พูดพลางเปิดกล่องเก็บอุณหภูมิพลาง
“เสี่ยวอี้ ผมไม่หิวจริงๆ คุณกลับไปก่อนเถอะ รอผมหิวแล้วผมจะกินเอง”ฟางยู่เชินเลือกใช้อีกวิธีส่งแขกที่ไม่ต้อนรับกลับไป
แต่เย่เสี่ยวอี้ดูเหมือนจะไม่เข้าใจอย่างนั้น “ไม่เป็นไร ไม่หิวก็ลองชิมนิดหน่อยก่อน ดูว่าอร่อยมั้ย”
ฟางยู่เชินมองหน้าที่ประจบเอาใจของเย่เสี่ยวอี้ เวลานี้เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“นี่คือกุ้งผัดเปรี้ยวหวาน นี่คือซี่โครงหมูตุ๋น”
เย่เสี่ยวอี้นำอาหารมาวางตรงหน้าเขาทีละอย่าง เอาตะเกียบยื่นให้เขา “รีบชิมดูสิ”
ฟางยู่เชินมองสิ่งที่ดำปิ๊ดปี๋มองไม่ออกว่าคืออะไรในกล่องเก็บอุณหภูมิ มุมปากกระตุก “คุณแน่ใจนะว่ากินได้”
“กินได้สิ”เย่เสี่ยวอี้พยักหน้า “ฉันลองชิมแล้วตอนอยู่ที่บ้าน อร่อยมากเลยนะ”
“จริงเหรอ”ฟางยู่เชินไม่เชื่อว่าอาหารที่ไหม้เกรียมแบบนี้จะยังกินได้
เห็นท่าทีขัดขืนต่อต้านของเขา เย่เสี่ยวอี้ก็หน้าบึ้ง พูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่คนเขาอุตส่าห์ทำอย่างลำบากนะ ไม่อร่อยคุณก็ต้องกิน”
เธอไม่ใช่แฟนของเขา มีสิทธิ์อะไรให้เขาทำตามคำเรียกร้องของเธอเพื่อให้เธอพอใจ
ฟางยู่เชินวางตะเกียบลง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เสี่ยวอี้ พวกเราไม่เหมาะสมกัน แถลงการณ์ในวันนี้เป็นแค่แผนยื้อเวลาเท่านั้น รอให้เรื่องสงบลง ผมจะเลือกเวลาออกมายกเลิกการแต่งงาน”