ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1300 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
ซ่างหยิงจองร้านอาหารในโรงแรมห้าดาว
ในตอนที่ทุกคนเดินทางมาถึงโรงแรม พวกเขาเห็นครอบครัวของเย่เสี่ยวอี้ยืนรออยู่ที่ล็อบบี้แล้ว
พอเห็นซ่างหยิงและคนอื่นๆเดินเข้ามา พ่อเย่และแม่เย่ก็พาเย่เสี่ยวอี้เข้ามาทักทายพวกเขาทันที
“คุณหาง พวกเรามาโดยไม่ได้รับเชิญ ต้องยกโทษด้วย” พ่อเย่พูดอย่างเขินอาย
เดิมทีซ่สงหยิงเรียกแค่เย่เสี่ยวอี้มา แต่พอรู้ว่ามีตระกูลจิ้นมาด้วย พ่อเย่ก็ตื่นเต้นจนทนไม่ไหว นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความรู้จักกับตระกูลจิ้น เขาจะพลาดโอกาสไปได้ยังไงกัน
พวกเขาจึงบากหน้ามาที่นี่ด้วย
แน่นอนว่าฟางเถิงไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่ตระกูลจิ้นไม่เหมือนกัน
“คุณจิ้นจะว่าอะไรไหมครับ” ฟางเถิงหันไปถามพ่อจิ้นกับแม่จิ้น
พ่อจิ้นยกยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ คนเยอะครึกครื้นดี”
พอได้ยินแบบนี้ ฟางเถิงก็หัวเราะออกมา “ถูกต้องครับ คนเยอะครึกครื้นดี”
เจียงสื้อสื้อเหลือบไปมองฟางยู่เชินซึ่งยืนอยู่ข้างหลัง สีหน้าของเขาแย่มาก
เธออดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ นี่เป็นการบีบบังคับชัดๆ ไม่ให้โอกาสพี่ชายของเธอได้ต่อต้านเลย
สุดท้าย ต่อหน้าผู้ใหญ่เยอะขนาดนี้ เขาก็ไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้
เย่เสี่ยวอี้กล่าวทักทายทุกคนอย่างมีมารยาท จากนั้นก็เดินมาหยุดลงข้างๆฟางยู่เชิน แล้วคล้องแขนของเขาไว้อย่างสนิทสนม
“คนมองเยอะแยะ มันไม่เหมาะสมครับ” ฟางยู่เชิน หาข้อแก้ตัว และขยับมือออกมา
“ทุกคนรู้เรื่องของเราอยู่แล้ว มีอะไรไม่เหมาะสมล่ะคะ” เย่เสี่ยวอี้พบว่าทุกคนกำลังมองมาที่พวกเธอ จึงก้มหน้าลงอย่างเอียงอายแล้วคล้องแขนของเขาไว้อีกครั้ง
“เอาล่ะ ขึ้นไปกันเถอะ” ซ่างหยิงพูดเสียงดัง
เป็นผลให้กลุ่มคนเดินไปที่ลิฟต์อย่างพร้อมเพรียง
เจียงสื้อสื้อกับส้งหวั่นชีงเดินรั้งท้าย
“นั่นน่ะเกรอคู่หมั้นของพี่ชายพี่” ส้งหวั่นชีงกระซิบถาม
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ใช่”
“หน้าตาก็ดูสวย แต่รู้สึกไม่น่าคบเอาซะเลย” ส้งหวั่นชีงมองทางเย่เสี่ยวอี้ที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า
“เธอพูดได้ถูกมาก” เจียงสื้อสื้อเลิกคิ้วมองเธอ แล้วโน้มตัวไปกระซิบที่หูของเธอ “นิสัยแย่มาก ตอนที่เจอเธอครั้งแรก พี่ชายของฉันถึงได้ไม่ชอบเธอไงล่ะ”
“แต่ฉันว่าน้าชายกับน้าสะใภ้เล็กของพี่ดูชอบเธอมาก”
ทั้งสองยิ้มให้กัน สีหน้าดูไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
หลังจากเข้าไปในห้องอาหาร ทุกคนก็นั่งลงที่เก้าอี้
เย่เสี่ยวอี้อยากจะนั่งข้างฟางยู่เชิน แต่ ฟางยู่เชินเร็วกว่า เขาดึงเจียงสื้อสื้อมานั่งข้างๆเขา เจียงสื้อสื้อส่งยิ้มแหยให้เย่เสี่ยวอี้
“ขอโทษด้วยนะครับ น้องสาวของผมอยากนั่งตรงนี้”
“นี่คุณ” เย่เสี่ยวอี้จ้องหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
เจียงสื้อสื้อกลัวว่าเย่เสี่ยวอี้จะอาละวาดขึ้นมา ทำให้บรรยากาศในห้องเสีย
เธอยิ้มออกมาแล้วถามอย่างระมัดระวัง”หรือส่า… ให้ฉันไม่นั่งอีกข้างดีคะ”
“ไม่ล่ะ นั่งตรงนี้ดีแล้ว”
ไม่ให้โอกาสเธอปฏิเสธ ฟางยู่เชินกดเธอให้นั่งลง
เมื่อเห็นแบบนี้ เย่เสี่ยวอี้ทำได้เพียงนั่งข้างเจียงสื้อสื้ออย่างโกรธเคือง
“พี่จะทำอะไร” เจียงสื้อสื้อขยีบเข้ามาใกล้แล้วกระซิบถามฟางยู่เชิน
ฟางยู่เชินเหลือบมองไปที่ด้านข้างของเธอ แล้วถามกลับอย่างเฉยเมย “นี่ไม่คิดจะช่วยพี่เลยหรือไง?”
เจียงสื้อสื้อยกยิ้ม “ฉันยังไม่อยากตายค่ะ เดิมทีฉันก็ไม่คิดจะช่วยพี่อยู่แล้ว”
ฟางยู่เชินยิ้มกัดฟันกรอด พอได้ยินแบบนี้ “ทำไมถึงใจร้ายกับพี่ขนาดนี้?”
“โธ่ นั่นมันเย่เสี่ยวอี้เลยนะคะ ถ้าเธอไม่พอใจแล้วคิดจะเล่นงานฉันขึ้นมาจะทำยังไงคะ”
อันที่จริงเจียงสื้อสื้อก็พูดไปอย่างนั้นเอง เธอไม่กลัวเย่เสี่ยวอี้หรอก แต่เธอแค่ไม่อยากเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้
“มีพี่อยู่ด้วย เธอไม่กล้าหรอก”
ฟางยู่เชินพูด ทำให้เจียงสื้อสื้อไม่สามารถบ่นได้อีกต่อไป เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่
สายตาของเย่เสี่ยวอี้ที่มองมาแหลมคมมาก จนไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย
เจียงสื้อสื้อพยายามจินตนาการถึงอาหารมื้อนี้เข้าไว้ เธอจะต้องทนทุกข์เพราะอาการอาหารไม่ย่อยอย่างแน่นอน
พอซ่างหยิงเห็นฟางยู่เชินดึงเจียงสื้อสื้อมานั่งด้านข้างของเขา ในขณะที่กำลังจะพูดอะไร แม่จิ้นก็พูดออกมาซะก่อน
“คุณฟางค่ะ มีเมนูพิเศษอะไรแนะนำไหมคะ?”
พอแม่จิ้นพูด ซ่างหยิงก็ต้องหันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้าก่อน แต่เธอก็ยังเหลือบมองไปทางลูกชายของเธอเป็นครั้งคราว
หลังจากสั่งอาหารแล้ว บรรดาผู้ใหญ่ก็เริ่มพูดคุยกัน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน แม่เย่ก็รีบพูดตาม “ถ้าภายภาคหน้ายู่เชินกับเสี่ยวอี้มีลูกด้วยกัน ดิฉันจะช่วยพวกเขาเลี้ยงลูกเองค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้ ฟางยู่เชินที่กำลังดื่มน้ำก็สำลักน้ำออกมาทันที
“ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ พี่แค่ต้องชินกับมัน” เจียงสื้อสื้อพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
การสนทนาระหว่างผู้ใหญ่นั้นหนีไม่พ้นการแต่งงานของลูก ๆ เธอชินกับมันแล้ว
“คุณแม่ พูดอะไรก็ไม่รู้” เย่เสี่ยวอี้มองหน้าฟางยู่เชินอย่างเขินอาย แต่มุมปากเธอยกยิ้ม เผยให้เห็นความคิดที่แท้จริงของเธอ
เจียงสื้อสื้อเลิกคิ้ว เย่เสี่ยวอี้แทบอยากจะตั้งท้องลูกของพี่ชายของเธอเต็มแก่ เพื่อที่เธอจะได้เป็นนายหญิงแห่งตระกูลฟางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
“ทางที่ดีมีลูกสักหลายๆคน พวกเราจะได้ช่วยกันเลี้ยงนะคะ” ซ่างหยิงพูด แล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
แม่จิ้นจิบน้ำชา ก่อนจะพูดช้าๆ “ความคิดของฉันมันตรงกันข้ามกับพวกคุณเลยค่ะ ตอนนี้ยู่เชินกำลังเติบโตในด้านธุรกิจของเขา ไม่ควรจะแต่งงานตอนนี้ สู้ใช้เวลาในตอนนี้พัฒนาธุรกิจให้รุ่งเรืองจะดีกว่า”
ฟางยู่เชินมองมาทางเธออย่างซาบซึ้งใจ
“ไม่ใช่สิคะไม่ใช่” ซ่างหยิงส่ายหน้า “การประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงานไม่ควรจะเริ่มต้นด้วยการแต่งงานก่อนแล้วจึงเริ่มธุรกิจเหรอคะ?”
“อย่างนั้นเหรอคะ?” แม่จิ้นแสร้งทำเป็นงุนงง แล้วมองไปที่เจียงสื้อสื้อ “สื้อสื้อ ลูกคิดว่าน้าสะใภ้เล็กของลูกพูดถูกไหมจ้ะ?”
“แค่ก!” เจียงสื้อสื้อเองก็สำลักน้ำเช่นกัน
เธอคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะถูกดึงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วย
“คุณแม่คะ พี่พวกคุณแม่พูดมาก็ถูกค่ะ” เจียงสื้อสื้อไม่อยากทำให้ใครโมโห
“ผู้ชายนั้น ต้องให้ความสำคัญกับธุรกิจเป็นหลัก” แม่จิ้นพูด
แม่เย่ขมวดคิ้วถาม “ถ้าคุณคิดว่าธุรกิจสำคัญกว่าจริงๆ ทำไมคุณถึงปล่อยให้ลูกชายสองคนของคุณแต่งงานตั้งแต่ยังหนุ่มล่ะคะ”
แม่จิ้นสำลัก ฟางยู่เชินรีบพูดแก้ตัวแทน “แม่ครับ นั่นเป็นเพราะเฟิงเฉินกับเฟิงเหราบริหารธุรกิจได้เป็นอย่างดี ส่วนฉันยังอ่อนหัดอยู่”
ถ้าไม่ใช่เพราะคุณปู่ล้มป่วย เขาคงยังไม่ต้องออกหน้าบริหารงานบริษัทเร็วแบบนี้
เมื่อเทียบกับจิ้นเฟิงเฉินกับจิ้นเฟิงเหราแล้ว เขาดูอ่อนหัดไร้ประสบการณ์มาก
“นั่นก็จริง” ซ่างหยิงพยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลานี้ พ่อจิ้นก็พูดขึ้นมา “จะแต่งงานมาก่อนหรือธุรกิจมาก่อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสุขของลูกๆ ความสุขของพวกเขาสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”
“คุณพูดถูกครับ ความสุขของลูกๆคือสิ่งสำคัญที่สุด” ฟางเถิงพูดคลายสถานการณ์ ดวงตาของเขาเคร่งขรึมไปเล็กน้อย
“ผมคิดว่าเสี่ยวอี้ของเราคงจะโชคดีมากที่จะได้แต่งงานกับยู่เชิน” พ่อเย่พูดด้วยรอยยิ้ม