ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1460 อืม รับทราบ!
เมื่อถึงบริษัท เจียงสื้อสื้อผลักประตูห้องทำงานของประธาน เห็นจิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ก้มหน้าก้มตาเคลียร์เอกสารอย่างจดจ่อ
เป็นเพราะจดจ่อเกินไป เขาถึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอได้เข้ามา
เจียงสื้อสื้อปิดประตูเบาๆ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป
จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองเขาอยู่ จึงเงยหน้าขึ้น เห็นถึงแววตาคู่หนึ่งที่ข้างในนั้นเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย
เขายกมุมปากขึ้นเบาๆ “คุณมาได้ไง”
“เฟิงเหราบอกว่าคุณไม่ได้ทานอะไรมาเลยทั้งวัน” เจียงสื้อสื้อยื่นกล่องอาหารวางลงบนโต๊ะ พลางเปิดพลางบ่นพึมพำด้วยความโมโห “คุณคิดว่าร่างกายตัวเองทำมาจากเหล็กหรือไง”
เห็นเธอโมโหจนแก้มป่อง ดูแล้วน่ารักมาก
จิ้นเฟิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ผมไม่ได้ทานข้าวทั้งวันที่ไหนกัน คุณมาส่งอาหารให้ผมแล้วไม่ใช่เหรอ”
เขาทอดสายตามองยังกล่องอาหารบนโต๊ะที่เธอเพิ่งนำออกมาเมื่อสักครู่
เจียงสื้อสื้อถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “ถ้าหากว่าฉันไม่มาส่ง คุณก็กะว่าจะไม่ทานใช่ไหม”
“ไม่หรอก ผมก็จะให้กู้เนี่ยนสั่งอาหารมาให้ผม”
ถึงแม้ว่าจิ้นเฟิงเฉินจะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงเขายุ่งกับงานมาตลอดทั้งวันจนไม่รู้สึกหิว
“อย่างนั้นยังไม่รีบทานอีก”
เจียงสื้อสื้อจะโกรธเขาลงได้อย่างไร ได้แต่ยิ้มอย่างจนปัญญา อุ้มกล่องอาหารไปนั่งลงที่โซฟา แล้วทำการเปิดออก
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาแล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
“ล้วนเป็นของโปรดที่คุณชอบทาน” เจียงสื้อสื้อยื่นตะเกียบไปให้เขา
จิ้นเฟิงเฉินมองดูแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วกล่าว :”อืม ล้วนเป็นของโปรดที่ผมชอบทาน”
เห็นเขายังไม่ขยับตะเกียบ เจียงสื้อสื้อลนลาน จึงกล่าวเร่งรัด:”รีบทานเถอะ ใช่แล้ว ทานซุปก่อน ทั้งวันไม่ทานข้าว ทานซุปบำรุงกระเพาะก่อน”
พลางพูดพลางยกถ้วยซุปยื่นให้กับเขา
จิ้นเฟิงเฉินตะลึงค้าง และรีบรับมาทันที “จ้ะ ทานซุปก่อน”
เขาทานซุปไปหนึ่งอึก หางตาเหลือบไปมองเจียงสื้อสื้อที่ถอนหายใจโล่งอก
ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกสับสนปนเปไปหมด
ความรู้สึกผิดผุดขึ้นในหัวใจ
พักนี้เขายุ่งอยู่กับงานที่บริษัท ยุ่งมากจนไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนลูกกับภรรยา และยังทำให้เธอเป็นห่วงอีก
หัวใจราวกับถูกอุดด้วยก้อนสำลีจนรู้สึกอึดอัด
เมื่อเขาทานซุปเสร็จ เจียงสื้อสื้อก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบสันเนื้อให้กับเขา “ทานเยอะๆ ถึงจะได้มีแรงทำงาน”
เห็นดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ้มขึ้น ทานอาหารที่เธอนำมาอย่างตั้งใจจนหมดเกลี้ยง
เจียงสื้อสื้อเฝ้ามองเขาทานอาหารจนหมด จิตใจที่เป็นพะวงจึงได้สงบลงสู่ปกติ
“ฉันจะไปชงชามะนาวมาให้คุณเพื่อย่อยอาหาร”
เจียงสื้อสื้อเก็บกวาดกล่องอาหารเสร็จจึงได้ลุกขึ้น
เมื่อเจียงสื้อสื้อได้ยกชามะนาวมานั้น ก็เห็นเขาวุ่นกับการทำงานอีกครั้ง จึงถอนหายใจอย่างเงียบๆ
เธอทนไม่ได้ที่เห็นเขาทำงานหนักขนาดนี้ แต่ว่าเธอก็เข้าใจดีอย่างสุดซึ้งถึงภาระที่แบกอยู่บนบ่าของเขา
เธอเดินเข้าไป วางชาลงข้างๆ มือของเขา สายตาจ้องไปที่คอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่มากมายลายตา เธอเห็นแล้วถึงกับปวดสมอง
แต่ก็ยังเอ่ยปากถาม :”มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหม”
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยแววตาที่อ่อนโยน “คุณกลับบ้านก่อนเถอะ ผมคนเดียวไหว”
“ไม่ ฉันอยากจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ” เจียงสื้อสื้อก้มหน้าเปิดดูกองเอกสารที่กองสูงอยู่ข้างมือของเขา “ฉันอยากจะช่วยคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินมองเธอแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้ อย่างนั้นคุณช่วยผมจัดระเบียบข้อมูลแล้วกัน”
เจียงสื้อสื้อยิ้มดีใจขึ้นทันที “ได้”
จิ้นเฟิงเฉินให้กู้เนี่ยนหยิบคอมพิวเตอร์อีกเครื่องเข้ามา นำข้อมูลที่ต้องการจัดระเบียบมาให้เจียงสื้อสื้อทั้งหมด
ในห้องทำงานได้เงียบสงบลง เจียงสื้อสื้อนั่งอยู่ตรงข้ามเขา ตรงด้านหน้ามีเครื่องคอมพิวเตอร์วางไว้ ด้านข้างมีกองเอกสาร
เธอมองหน้าจออย่างตั้งใจ นิ้วมือเรียวบางที่ขาวเนียนเคาะอยู่บนแป้นพิมพ์ จัดระเบียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับโครงการตลอดทั้งปีของจิ้นกรุ๊ป
เจียงสื้อสื้อถามขึ้นเฉยๆ :”โครงการทั้งหมดนี้ถูกระงับชั่วคราวใช่ไหม”
เธอได้อ่านดูข่าว มีนักวิชาการบอกว่าสถานการณ์ของจิ้นกรุ๊ปครั้งนี้ไม่ค่อยสู้ดี ผู้ถือหุ้นส่วนหลายคนเลือกที่จะระงับการร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ป
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เปล่านิ”
เจียงสื้อสื้อหยุดเคลื่อนไหวการกระทำ แล้วเงยหน้าขึ้นพูดอย่างอ่อนโยน:”เฟิงเฉิน คุณสามารถบอกความจริงกับฉันได้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังฉัน”
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถช่วยอะไรมากได้ แต่ก็หวังว่าอย่างน้อยๆ ก็สามารถช่วยเขาแบ่งเบาได้นิดหน่อย
จิ้นเฟิงเฉินเงียบไปสักพัก ถึงได้เอ่ยออกมาเบาๆ :”โครงการที่สำคัญๆ ยังอยู่ ส่วนการร่วมมือที่รอการเจรจาถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “ถูกใครแย่งไป ซ่างกวนเชียนเหรอ”
“จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “โอกาสดีขนาดนี้ พวกเขาจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร”
“ฉันเคยติดต่อสัมผัสกับซ่างกวนเชียน จำได้ว่าเขาเมื่อก่อนไม่ใช่คนแบบนี้” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ตั้งแต่ที่ซ่างกวนหยวนเสียชีวิตไป ซ่างกวนเชียนก็โกรธแค้นเฟิงเฉิน ทำทุกอย่างที่เป็นปฏิปักษ์กับจิ้นกรุ๊ป
“คนเรามักจะเปลี่ยนได้เสมอ” จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลง แววตาหมองหม่น “ครั้งนี้พวกเขาแย่งลูกค้าของจิ้นกรุ๊ปไปไม่น้อย”
“ครั้งนี้จิ้นกรุ๊ปเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ มีลูกค้าไม่น้อยที่รู้สึกเป็นกังวล ถึงไม่ร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ป ก็ต้องไปร่วมมือกับบริษัทอื่นอยู่ดี ดังนั้นอย่าไปคิดมาก”
ในมุมมองของเจียงสื้อสื้อ ลูกค้าเลือกแบบนั้นก็สามารถเข้าใจได้
“ผมไม่ได้คิดมาก” จิ้นเฟิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก “ลูกค้าที่สูญเสียไปในตอนนี้ จะต้องเอากลับมาได้อย่างแน่นอน เพียงแต่แค่ไม่ชอบการกระทำที่ซ้ำเติมแบบนี้ของพวกซ่างกวนเชียน”
“ฉันเข้าใจ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องรับผลในการกระทำของตัวเอง”
เจียงสื้อสื้อเห็นสีหน้าของเขายังคงไม่สู้ดี จึงลุกขึ้นเดินไปที่ด้านหลังของเขา ช่วยนวดไหล่ให้กับเขา “อย่าไปคิดมากเลย ฉันเชื่อว่าคุณจะต้องทำให้จิ้นกรุ๊ปดีขึ้นอย่างแน่นอน
จิ้นเฟิงเฉินกุมมือของเธอ เงยหน้าขึ้นสบตากับเธออย่างอ่อนโยน “สื้อสื้อ ขอบคุณนะ”
“ฉันเป็นภรรยาของคุณ ดังนั้นไม่ต้องขอบคุณหรอก” เจียงสื้อสื้อที่กำลังนวดไหล่ให้กับเขาได้หยุดชะงักขึ้น จากนั้นโน้มตัวมาโอบเอวของเขาไว้แล้วกล่าว: “เฟิงเฉิน ฉันอยากจะกลับมาทำงานที่บริษัทแล้ว ได้ไหม”
เช้าวันนั้นที่เฟิงเฉินรู้เรื่องความลับบริษัทรั่วไหล ก็ให้เธอหยุดเข้ามาทำงานที่บริษัทชั่วคราว
เธอรู้ว่าที่เฟิงเฉินเป็นห่วงว่าเธอจะกังวลจนส่งผลกระทบต่อร่างกาย ถึงอยากให้เธออยู่บ้าน เพราะว่าในบ้านยังมีลูกๆ ที่คอยดึงความคิดความสนใจของเธอได้
เธอจึงรับปาก ก็เพื่อไม่อยากให้เฟิงเฉินคิดมาก เรื่องของบริษัททำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว จึงไม่อยากให้เขาเป็นห่วงตัวเองอีก
แต่ว่าเขาในตอนนี้เหนื่อยขนาดนี้ เจียงสื้อสื้อรู้สึกปวดใจจริงๆ ……
เห็นเขาลังเล เจียงสื้อสื้อจึงออดอ้อนออเซาะเขาอย่างกับเด็กน้อย:”ฉันรับปากว่าทุกๆ เรื่องจะเห็นร่างกายของตัวเองมาเป็นอันดับแรก ดีไหม”
จิ้นเฟิงเฉินเผลอยิ้ม มองเธอด้วยแววตาที่อ่อนโยน “ได้ แต่ว่าคุณต้องจำคำพูดของตัวเองที่พูดในตอนนี้นะ”
“อืม รับทราบ!” เจียงสื้อสื้อตกปากรับคำอย่างฉับไว และยิ้มอย่างพึงพอใจ
แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ได้อยู่เป็นเพื่อนเขาก็ยังดี
เจียงสื้อสื้อกลับไปที่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์อย่างดีใจ ส่วนจิ้นเฟิงเฉินก็กลับไปจดจ่อกับการทำงานต่อ
มีเธออยู่เป็นเพื่อน อารมณ์ที่เดิมทีหนักหน่วงก็ค่อยๆ ดีขึ้น
ราตรีนี้ค่อยๆ ดึกลงเรื่อยๆ
เจียงสื้อสื้อที่ทนต่อไปไม่ไหว จัดการข้อมูลได้พอประมาณแล้ว จึงได้เอนตัวทรุดลงบนโซฟาแล้วก็นอนหลับไป
จิ้นเฟิงเฉินกลัวเธอจะหนาวจึงได้หาผ้าห่มผืนหนึ่งมาห่มไว้บนตัวเธอ
เอื้อมมือมาปัดไรผมที่อยู่บนแก้มของเธอ ดวงตาตกกระทบไปที่หน้าผากของเธอ มุมปากของจิ้นเฟิงเฉินโค้งขึ้น แววตาละมุนจนน้ำแทบจะหยดออกมา
“ราตรีสวัสดิ์
จิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่ข้างๆ หันหลังพิงโซฟา มือข้างหนึ่งจับมือของเธอไว้ จิตใจที่ตึงเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง
หลายวันมานี้ เขานั้นเหนื่อยจริงๆ
หากไม่ใช่ความแข็งแกร่งของจิตตานุภาพที่คอยค้ำอยู่ เขาก็คงจะล้มลงไปตั้งนานแล้ว
ยามนี้ได้ผ่อนคลายลง ความเหน็ดเหนื่อยดุจคลื่นทะเลก็หายไปในฉับพลัน หนังตาที่อ่อนล้าก็ค่อยปิดลง
จนหลับใหลไป
แต่ว่าตีสี่จิ้นเฟิงเฉินก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
เขามองเจียงสื้อสื้อที่ยังคงนอนหลับใหล ยกมือขึ้นนวดลำคอที่เมื่อยล้า จากนั้นลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โต๊ะทำงาน
ยังมีงานอีกมากมายที่ยังทำไม่เสร็จ จึงไม่อนุญาตให้เขานอนหลับได้นาน