ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 1464 หยุดการขาดทุน
“จิ้นเฟิงเฉินตกลงร่วมงานแล้วจริงๆเหรอ?”
เจี่ยงฉือมองหลี่ซีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลี่ซีดื่มกาแฟไปหนึ่งคำ แล้วถามกลับว่า: “นายไม่เชื่อเหรอ?”
“ครั้งก่อนๆยังไม่ตกลงเลย ทำไมครั้งนี้ถึงยอมล่ะ?” เจี่ยงฉือรู้สึกแปลกๆเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ในเมื่อจิ้นเฟิงเฉินสงสัยในตัวพวกเขา งั้นก็ไม่มีทางยอมตกลงง่ายๆแน่
“เขาบอกกับฉันเองว่าร่วมงานกันได้ ยังบอกว่าจะให้ผู้ช่วยไปทำสัญญา” หลี่ซีแสยะยิ้มอย่างได้ใจ “สถานการณ์ตอนนี้ของจิ้นกรุ๊ป นายน่าจะรู้ดีนะ เขายอมตกลงก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
“เขาพูดเงื่อนไขอะไรไหม?”
“มี เขาว่าจะกำหนดเงื่อนไขในสัญญาเอง”
เจี่ยงฉือขมวดคิ้ว “เธอตกลงแล้วเหรอ?”
“ทำไมจะไม่ตกลงล่ะ?” หลี่ซีถามเขากลับ “พวกเราหาโอกาสร่วมงานกับจิ้นกรุ๊ปตลอด ตอนนี้กว่าจะได้โอกาสนี้มาไม่ใช่ง่ายๆ ฉันจะปล่อยไปได้ยังไง?”
ทันใดนั้นเจี่ยงฉือก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แค่พูดไปว่า: “เธอใจร้อนเกินไปแล้ว”
“ฉันใจร้อนตรงไหน?” หลี่ซีวางแก้วในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “หรือนายจะให้ฉันรอต่อไปหรือไง? ฉันรอไม่ไหวหรอกนะ”
“ดังนั้นถึงได้บอกว่าเธอใจร้อนไง” เจี่ยงฉือถอนหายใจ “ซีซี เธอรู้จักจิ้นเฟิงเฉินดีกว่าฉัน ครั้งก่อนๆตอนที่เธอยังมีพร้อมทุกอย่าง เขายังไม่ยอมตกลงเลย ทำไมครั้งนี้ถึงยอมล่ะ? หรือว่าเธอไม่เคยตั้งใจคิดเรื่องนี้เลยเหรอ?”
“ฉันเคยคิดอยู่แล้ว” หลี่ซีเงียบไปสักพัก จากนั้นก็พูดต่อว่า: “ถ้าเขาอยากร่วมงานกับพวกเราจริงๆ นั่นก็เป็นเรื่องดีที่สุด ถ้าพวกเขาหลอกฉัน นั่นก็แค่เร่งแผนการจัดการจิ้นกรุ๊ปของเราให้เร็วมากขึ้น”
เจี่ยงฉือโล่งอก “เธอคิดได้แบบนี้ ฉันก็วางใจแล้วล่ะ”
“เธอกังวลอะไรอยู่กันแน่?” หลี่ซีมองเขาด้วยรอยยิ้มหัวเราะเยาะ
“ฉันกังวลว่าเธอจะถูกจิ้นเฟิงเฉินหลอกน่ะ” เจี่ยงฉือพูดความในใจออกมา
หลี่ซีหัวเราะออกมา “ครั้งนี้นายวางใจได้เลย เขาหลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่ใช่ซ่างกวนหยวนแล้ว แต่คือหลี่ซี”
เจี่ยงฉือเดินเข้าไป กอดเอวเธอไว้ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ก้มหน้ามองดูเธอ แล้วกระตุกมุมปาก “ถึงแม้เธอจะถูกหลอก ก็ยังมีฉันอยู่ข้างๆเสมอนะ”
หลี่ซีหัวเราะ เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่หวานเยิ้ม แล้วอมยิ้มพูดว่า: “นายดีที่สุดเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เจี่ยงฉือจูบลงไปบนริมฝีปากแดงของเธอที่เผยอเล็กน้อย
……
วันนี้จิ้นเฟิงเฉินอยู่นอกบริษัท แล้วเจียงสื้อสื้อก็อยู่ในบริษัทค่อยต้อนรับลูกค้าด้วยกันกับกู้เนี่ยน
พอรับสาย ก็มีลูกค้าบางรายที่อยากจะยกเลิกสัญญากับจิ้นกรุ๊ป ไม่อยากร่วมงานกันอีกต่อไปแล้ว
ทุกสายที่โทรเข้ามา เจียงสื้อสื้อก็ต้องทำใจเอาไว้ด้วย แต่ก็พยายามตั้งสติแล้วโน้มน้าวลูกค้า ให้อีกฝ่ายเชื่อใจว่าจิ้นกรุ๊ปจะต้องผ่านมรสุมนี้ไปได้แน่นอน
ลูกค้าบางรายก็เชื่อแล้วตกลง แต่บางรายก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าเธอพูดยังไง พวกเขาก็จะยกเลิกสัญญาให้ได้
เธอไม่มีทางเลือก จึงต้องเลือกที่จะเคารพอีกฝ่าย
พอวางสายไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็ถอนหายใจ หันหน้าไปมองกู้เนี่ยนที่ยุ่งอยู่เหมือนกัน แล้วถามว่า: “พวกนายต้องรับสายแบบนี้ทั้งวันเลยหรือเปล่า?”
กู้เนี่ยนหยุดงานในมือ แล้วพยักหน้า “เยอะมากครับ”
ที่จริงโทรศัพท์จากผู้ร่วมงานทุกคน ไม่ควรให้พวกเขารับผิดชอบและจัดการ
แต่ว่าลูกค้าส่วนมากจะต้องคุยกับทางคณะกรรมการให้ได้ ไม่งั้นจะยกเลิกสัญญาทันที
“จะยกเลิกสัญญากันหมดเลยเหรอ?” เจียงสื้อสื้อถาม
“ก็ไม่ใช่ทุกสายหรอกครับ ยังมีบางสายที่เป็นห่วงสถานการณ์ของจิ้นกรุ๊ป” กู้เนี่ยนเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี ก็เลยยิ้มแล้วพูดปลอบใจว่า: “คุณหญิงครับ ที่จริงวันนี้สายที่โทรเข้ามาน้อยกว่าหลายวันก่อนมาก และลูกค้าที่จะยกเลิกสัญญาก็น้อยลงแล้วด้วยครับ”
“จริงเหรอ?” เจียงสื้อสื้อไม่อยากจะเชื่อ
“จริงครับ ถ้าคุณหญิงไม่เชื่อก็ถามคนอื่นๆดูได้นะครับ” กู้เนี่ยนพูด
เจียงสื้อสื้อหัวเราะเสียงเบาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องถามหรอก ฉันเชื่อนาย”
เธอนวดต้นคอที่รู้สึกเมื่อยเล็กน้อย เหลือบมองเวลา แล้วก็ขมวดคิ้ว “วันนี้เฟิงเฉินไปไหนเหรอ ทำไมเวลานี้เขายังไม่กลับมาอีกล่ะ?”
“คุณชายจะไปพบลูกค้าสำคัญๆน่ะครับ”
สำหรับจิ้นกรุ๊ปแล้วลูกค้าใหญ่ๆ จิ้นเฟิงเฉินเลือกที่จะไปอธิบายกันตัวต่อตัวมากกว่า เขาเชื่อว่าความจริงใจแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจเรา
เจียงสื้อสื้อรู้ว่าจิ้นเฟิงเฉินทำธุรกิจแบบนี้ ก็รู้สึกปวดใจ “เขาไม่เคยขอร้องคนอื่นมาก่อน ครั้งนี้เขาคงลำบากมากสินะ”
“ก็ไม่ได้ขอร้องหรอกครับ แต่เป็น……” กู้เนี่ยนครุ่นคิดคำพูดสักพัก “เคารพครับ คุณชายเคารพลูกค้าทุกคนมากกว่า เขาหวังอยากให้ลูกค้าทุกคนเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ของจิ้นกรุ๊ป และให้โอกาสลูกค้าทุกคนได้เลือกอย่างเสรี”
เจียงสื้อสื้อหัวเราะ “ดังนั้นหลายปีมานี้กิจการของจิ้นกรุ๊ปเลยเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่จนคนไม่น้อยที่อิจฉาตาร้อน”
เธอเชื่อว่ามรสุมครั้งนี้จะต้องผ่านไปได้แน่นอน จิ้นกรุ๊ปจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นอีกเท่าตัว
จนถึงสองทุ่ม จิ้นเฟิงเฉินถึงกลับมาบริษัท
เขาเดินไปที่โซฟาด้วย ถอดเสื้อสูทออกด้วย แล้วโยนไปที่โซฟาข้างๆ
หลังจากที่นั่งลงแล้ว เขาก็ปลดกระดุมคอเสื้อออก แล้วพับแขนเอขึ้นสองตลบ เผยให้เห็นแขนเรียวยาวของเขา
เจียงสื้อสื้อยกแก้วน้ำมาแล้วรีบเดินเข้าไปหาเขา “เหนื่อยเลยสิท่า? ดื่มน้ำก่อนสิ”
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ และกระตุกยิ้มอ่อนๆ “อืม”
เขารับน้ำมาดื่มหนึ่งคำ “วันนี้งานเยอะไหม?”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า “ไม่เยอะหรอก งานที่ฉันทำมันเทียบกับนายไม่ได้หรอก”
เห็นแววตาที่เหนื่อยล้าของเขา เจียงสื้อสื้อก็เดินไปด้านหลังเขา แล้วนวดขมับให้เขา และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
จิ้นเฟิงเฉินพึมพำสักพัก จากนั้นก็พูดว่า: “จัดการเสร็จแล้วล่ะ”
“จริงเหรอ?” เจียงสื้อสื้อประหลาดใจมาก “ดีจังเลยนะ”
ไม่เสียแรงที่เขาออกเดินทางทั้งวัน
ตอนนี้เอง กู้เนี่ยนเปิดประตูเดินเข้ามา
เขาเดินไปข้างๆจิ้นเฟิงเฉิลแล้วถามว่า: “คุณชายครับ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ร่างประกาศเสร็จแล้ว คุณชายจะดูก่อนไหมครับ?”
“ไม่ต้องแล้ว ถ้านายคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้ก็บอกให้สื่อประกาศออกไป” จิ้นเฟิงเฉินพูด
กู้เนี่ยนพยักหน้า “ครับ”
ตอนนี้เองเรื่องทุกอย่างก็จัดการได้คร่าวๆแล้ว ขอแค่ประกาศข่าวออกไป หุ้นของจิ้นกรุ๊ปก็น่าจะเพิ่มขึ้นได้นะ
แม้จะมีลูกค้าน้อยลง แต่ก็พยายามทำให้ขาดทุนน้อยที่สุดแล้ว
เจียงสื้อสื้อรู้ว่านี่คือสิ่งที่จิ้นเฟิงเฉินต้องพยายามมากกว่าจะแลกมันมาได้ เธอทั้งภูมิใจในตัวเขาและรู้สึกปวดใจด้วยเหมือนกัน
ช่วงหลายวันมานี้ เหมือนเขาจะผอมลงเลย
“นายไม่ได้กินข้าวตรงเวลาแน่เลย” เจียงสื้อสื้อพูดอย่างมั่นใจ
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะ “ก็ฉันว่าจะกลับมากินพร้อมกับเธอนี่ไงล่ะ?”
เจียงสื้อสื้อมองเขาอย่างไม่พอใจ “ขอให้จริง”
ต่อมา เธอก็โทรศัพท์หาแม่จิ้น
“คุณแม่คะ หนูกับเฟิงเฉินยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย แม่ช่วยให้คนขับรถส่งอาหารมาที่บริษัทได้ไหมคะ?”
แม่จิ้นเหลือบตามองนาฬิกาบนกำแพง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นี่ก็สองทุ่มแล้ว พวกเธอยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอ? ทำไมถึงไม่ดูแลสุขภาพตัวเองแบบนี้กันนะ?”
“คุณแม่คะ อย่าโกรธสิคะ เฟิงเฉินเพิ่งกลับมาถึงบริษัท และสองทุ่มก็ไม่ถือว่าดึกด้วยค่ะ”
“นี่ยังไม่ดึกเหรอ” แม่จิ้นถอนหายใจ “เดี๋ยวแม่ให้คนในครัวเตรียมอาหารให้ เสร็จแล้วจะให้คนขับรถส่งไปให้นะ”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
พอวางสายไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็แกล้งมองค้อนจิ้นเฟิงเฉินด้วยความน้อยใจ “เพราะนายไม่กินข้าวตรงเวลา ทำให้ฉันโดนแม่บ่นไปด้วยเลย”