ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 188 มาได้ยังไง
บทที่ 188 มาได้ยังไง
“จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องดูเวลาด้วยนะ อย่าทำร้ายร่างกายแบบนี้สิ นี่คุณยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?” ลู่เจิงก็ยังคงถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ…ฉันรู้แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ เดี๋ยวฉันจัดการเสร็จแล้วจะรีบกลับทันทีเลยค่ะ”
หลังจากวางสาย เจียงสื้อสื้อก็เร่งความเร็ว เพื่อที่จะจัดการกับปัญหาของแผนนโยบายนั้นทันที
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่ม เจียงสื้อสื้อก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อที่จะกลับบ้าน หลังจากที่ยุ่งมาเกือบทั้งวัน เจียงสื้อสื้อยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย ทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวอย่างอดไม่ไหว แถมยังรู้สึกไม่ค่อยดีด้วย
หลังจากที่ลงมาจากตึก ด้านนอกก็มีรถสีดำคันหนึ่งมาจอดอยู่ พลันมีผู้ชายที่สวมชุดสูทสีดำยืนพิงรถคันนั้นอยู่ ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ที่สาดส่องมาที่ตัวเขา ซึ่งเขาเองก็กำลังหันหลังให้เธออยู่ ทำให้เธอมองใบหน้าตรงๆ ของเขาไม่ชัด
เป็นเพราะร่างกายที่ดูคล้ายๆ กับจิ้นเฟิงเฉิน ทำให้ชั่วขณะนั้นเจียงสื้อสื้อคิดว่าเป็นเขามาหาเธอ
หลังจากที่เดินเข้าไปใกล้ เจียงสื้อสื้อก็พบว่าคนๆ นั้นก็คือลู่เจิงนั้นเอง
แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกที่หดหู่ก็ถาโถมเข้ามาที่หัวใจของเจียงสื้อสื้อ ทำให้ในใจของเธออดไม่ได้ที่จะแอบตำหนิตัวเอง ไม่ว่ายังไงก็ปล่อยวางจากผู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยสินะ
ลู่เจิงเองก็ไม่ได้เห็นความผิดปกติจากเจียงสื้อสื้อ เขาเม้มปากพูดขึ้นว่า : “นี่มันห้าทุ่มกว่าแล้วนะ ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรจะทำแบบนี้นะ ไม่รู้จักรักสุขภาพตัวเองบ้างเลย ถ้าอย่างนั้นกินอันนี้ก่อนดีกว่านะ พอดีพี่เอาของกินมาให้เธอด้วย”
เป็นเพราะเจียงสื้อสื้อดูโทรมไป ลู่เจิงจึงยื่นของกินไปให้เธอ
เจียงสื้อสื้อเองก็ยิ้มรับ : “ขอบคุณนะคะ แต่คุณไม่ต้องถึงขนาดมาหาฉันแบบนี้ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจัดการงานเสร็จ ฉันก็กลับไปหาอะไรกินเองล่ะค่ะรุ่นพี่”
ดึกขนาดนี้ แถมลู่เจิงยังต้องลำบากมาให้ของกินเธออีก เขาทำดีกับเธอแบบนี้ แต่ตัวเองกลับไม่อาจตอบสนองให้ผู้ชายคนนี้ได้ ทำให้ในใจของเจียงสื้อสื้อรู้สึกเหมือนแบกรับภาระอยู่มาก
ลู่เจิงเองก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่มีอะไรพิเศษหรอก ก็แค่ทางกลับบ้านพอดี พอรู้ว่าเธอบ้างานแบบนี้ ก็คงไม่มีทางจะออกจากบริษัทง่ายๆ แน่ ก็เลยพาของกินมาด้วยน่ะ”
จริงๆ แล้วลู่เจิงก็แค่หาข้ออ้างเพื่อมาทำดีต่อเธอเท่านั้น แค่ขอได้เห็นหน้าเธอก็พอใจ แต่พอมาเห็นสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนของเจียงสื้อสื้อแบบนี้ ลู่เจิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจหน่อยๆ
เจียงสื้อสื้อพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขอบคุณอีกครั้ง
ทั้งสองคนพลันหาที่นั่งข้างทางนั่งลง แล้วเริ่มกินข้าวที่เขานำมา
ลู่จิงกินข้าวมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงนั่งมองเจียงสื้อสื้อกินแทน
“เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง แต่เธอดูผอมลงแล้วล่ะ นี่เธอทำงานจนดึกดื่นแบบนี้แล้วค่อยกินข้าวทุกวันหรือเปล่าเนี่ย?”
เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้ม พลางรู้สึกว่าเขาพูดชมตัวเธอ ตัวเธอจะไปผอมได้ยังไงกันล่ะ
“ก็แค่งานยุ่งหน่อยๆ เท่านั้นล่ะค่ะ แต่ฉันก็ยังกินข้าวตรงเวลานะคะ เพียงแค่วันนี้ยุ่งไปหน่อยจนลืมเท่านั้นเอง”
ลู่เจิงแสดงสีหน้าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ เขาเองก็รู้จักนิสัยของเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างดี ว่าผู้หญิงคนนี้ยังคงเหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิด ลู่เจิงเองก็จำได้ ว่าก่อนหน้านี้ที่โรงเรียน ก่อนเวลาสอบทุกครั้ง เจียงสื้อสื้อมักจะอ่านหนังสือจนลืมกินข้าวกินปลา ตอนนั้นลู่เจิงก็มักจะพาของกินมาให้เธอบ่อยๆ คิดไม่ถึงว่าพอทำงานก็ยังคงเหมือนเดิม ยังไม่รู้จักรักทะนุถนอมร่างกายของตัวเองเหมือนเดิม
เจียงสื้อสื้อเองก็รู้สึกประหม่าหน่อยๆ จริงๆ แล้วหลายวันที่ผ่านมาเธอก็มักจะลืมกินข้าวบ่อยๆ แถมวันนี้ที่เธอยุ่งกับงานมาจนถึงตอนนี้ ทำให้กระเพาะของเธอรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว
ยิ่งพอได้กินซุปร้อนๆ ลงไป ไม่เพียงแค่ไม่ผ่อนคลายเท่านั้น แต่กลับรู้สึกแย่ด้วยซ้ำ
เพราะกลัวว่าลู่เจิงเป็นห่วง และไม่อยากให้เขามองออก เจียงสื้อสื้อจึงกินไปอีกหลายคำ หลังจากนั้นก็เก็บลง
“งั้นฉันขอเอากลับไปกินนะคะรุ่นพี่!”
ลู่เจิงเห็นว่าเจียงสื้อสื้อเหนื่อยอยู่จริงๆ จึงทำได้เพียงส่งเธอกลับบ้านเท่านั้น
ทันทีที่รถมาถึงที่พักของเธอ เจียงสื้อสื้อก็เดินลงจากรถพร้อมกับหันมาพูดกับเขาว่า : “ขอบคุณนะคะรุ่นพี่ วันนี้รบกวนพี่มากเลยล่ะค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจกับพี่ขนาดนั้นก็ได้ เอาล่ะ รีบๆ กลับไปพักผ่อนเถอะ!” ลู่เจิงพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้ม
“ค่ะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นตึกไป
ลู่เจิงยืนมองแผ่นหลังเธอเดินขึ้นไปแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาอยากจะทำดีกับเจียงสื้อสื้อ แต่ก็กังวลว่าเธอจะตีตัวออกห่างเขาไปอีก แล้วสุดท้ายแม้แต่เพื่อนก็จะเป็นไม่ได้เลย……
หลังจากมาถึงบ้าน เจียงสื้อสื้อก็ยังคงรู้สึกปวดที่กระเพาะ จนสีหน้าเธอก็ซีดขาว เธอยืนค้ำอ่างน้ำในห้องน้ำ พลางอาเจียนเอาของที่กินไปออกมาหมด
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วแน่น พลางรู้สึกแย่ไปทั่วร่างกาย เธอไม่อยากกินข้าวเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะหยิบชุดนอนเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
หลังจากเดินออกมา เจียงสื้อสื้อก็รินน้ำหนึ่งแก้ว จากนั้นก็กินยาเคลือบกระเพาะไปสองสามเม็ด จากนั้นเธอก็นอนลงบนโซฟา ทั้งๆ ที่ผมของเธอยังไม่แห้งดี ก่อนจะสะลึมสะลือแล้วก็หลับไป
เป็นเพราะยังรู้สึกปวดกระเพาะ ทำให้เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นกุมท้อง เดิมทีคิดว่าหากหลับแล้วมันคงจะดีขึ้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า พอถึงช่วงกลางดึก เจียงสื้อสื้อจะตื่นขึ้นมาด้วยความปวด
ในกระเพาะตอนนี้รู้สึกราวกับถูกมีดปาด มันปวดเสียจนเหงื่อกาฬไหลออกมา ถ้าหากตอนนี้เปิดไฟขึ้นล่ะก็ สามารถมองเห็นสีหน้าที่ซีดขาวของเธอได้อย่างชัดเจน
มันปวดเสียจนเจียงสื้อสื้อพยายามสูดลมหายใจเอาอากาศเย็นเข้า เธอพยายามคลำหามือถืออย่างสะลึมสะลือ เพื่อที่จะโทรหาสวีหน้าให้ช่วยมาพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาล
หลังจากอีกฝ่ายรับสาย เจียงสื้อสื้อก็อดกลั้นความเจ็บปวดพูดไป : “สวีหน้าขอโทษด้วยนะ! รบกวนเธอช่วยไปส่งพี่ที่โรงพยาบาลหน่อยได้หรือเปล่า?”
ดึกดื่นป่านนี้ เธอเองก็ไม่อยากที่จะไปรบกวนใครอื่น แต่ตอนนี้นั้น เธอรู้สึกแย่จนมันทนไม่ได้จริงๆ
……
ณ บ้านตระกูลจิ้น
จิ้นเฟิงเฉินเดินลงมาดื่มน้ำหลังจากทำงานเสร็จที่ห้องหนังสือ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พอเห็นเบอร์ที่โชว์ แววตาเขาก็แสดงความตกใจออกมา
นี่เป็นครั้งแรกหลังจากหลายวันที่ผ่านมา ที่เจียงสื้อสื้อโทรหาเขาแบบนี้ ในใจของจิ้นเฟิงเฉินจึงรู้สึกเบิกบานใจอย่างมาก หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็รับสายขึ้นทันที
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงที่พยายามอดกลั้นความเจ็บปวดของเจียงสื้อสื้อดังขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว แต่ขณะที่เขากำลังจะออกปากถามไปนั้นเอง ก็มีเสียงที่อ่อนแอของฝ่ายหญิงดังขึ้นอีกครั้ง
“ฉันปวดท้องมากเลย…รบกวนคุณด้วย”
ต่อจากนั้น อีกฝ่ายก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก
พอจิ้นเฟิงเฉินรู้ว่าร่างกายของเจียงสื้อสื้อไม่ค่อยโอเค เขาจึงรีบหยิบกุญแจรถ แล้วรุดออกจากบ้านไปทันที
ระหว่างทาง สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินดูแย่อย่างมาก เขาขมวดคิ้วแน่น แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจอย่างมาก
จากบ้านตระกูลจิ้นมาถึงที่บ้านพักของเจียงสื้อสื้อนั้น ปกติแล้วก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ แต่จิ้นเฟิงเฉินกลับใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง ระหว่างทางเขาเองก็ไม่รู้ว่า เขาฝ่าไฟแดงมาแล้วกี่ที่กันแน่
หลังจากวางสายไป เจียงสื้อสื้อเองก็ไม่รู้ว่าเพราะความเจ็บปวด หรือมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอก็สลบไสลไปอีกรอบ แต่เป็นเพราะความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เธอนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ด้วยอาการตัวสั่นหน่อยๆ
แต่เจียงสื้อสื้อกลับไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นโทรไปผิดเบอร์ ทันทีที่เสียงออดดังขึ้น เธอก็เปิดไฟ จากนั้นก็พาร่างกายที่อ่อนแอของตัวเองไปเปิดประตู
“ขอโทษนะสวีหน้าดึกขนาดนี้แล้ว…”
ยังไม่ทันที่เจียงสื้อสื้อจะพูดจบ เธอก็มองเห็นจิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูของเธอ เขายังคงสวมชุดสูททั้งตัว ดูท่าทีเหมือนกับรีบมาที่นี่อย่างมากก หลายวันที่ไม่ได้เห็นเขา เจียงสื้อสื้อจึงหันไปมองท่าทีที่สง่างามของเขาอย่างเหม่อลอย พร้อมกับคิดว่าเป็นเพราะความเจ็บปวดของตัวเอง ทำให้เธอเพ้อไป
พอรู้สึกตัวว่าเป็นจิ้นเฟิงเฉินจริงๆ ดวงตาของเจียงสื้อสื้อก็ฉายแววประหลาดใจออกมา จากนั้นก็ถามขึ้นว่า : “คุณมาได้ยังไงกัน?”
“ก็คุณโทรหาผมนี่” จิ้นเฟิงเฉินเม้มปากพูด