ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 397 กอดไม่ปล่อยมือ
บทที่ 397 กอดไม่ปล่อยมือ
“คุณพูดอีกรอบสิ” น้ำเสียงของจี้เฉินเย็นชาเล็กน้อย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจี้เฉินที่กำลังอารมณ์เสียผู้ช่วยก็กลัวจนหัวหด แต่ยังส่งรายงานข้อมูลการเงินของบริษัทให้จี้เฉินแล้วพูดว่า “นี่คือข้อมูลทางการเงินของพวกเราในไตรมาสนี้ครับ ภาพรวมมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีคนแสดงความไม่พอใจแล้ว หากพวกเรายังไปยุ่งกับเงินลงทุนตามอำเภอใจ คงต้องมีการซุบซิบนินทาแน่นอน”
จี้เฉินได้ยินก็ไม่พอใจอย่ายิ่ง “ไอ้แก่พวกนั้น มีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับฉัน แกไปทำตามที่ฉันสั่ง”
แม้ว่าผู้ช่วยจะความคิดเห็นแตกต่าง แต่เขาก็รู้ดีว่าต่อให้ตนเองพูดออกมาจี้เฉินก็ไม่ฟังเขาอยู่ดี จึงได้แต่ยอมไปทำอย่างไร้หนทาง
หลังจากที่ผู้ช่วยจากไปแล้วจี้เฉินค่อยๆหรี่ตามอง ขยำเอกสารในมือ พูดอย่างโกรธแค้นว่า “จิ้นเฟิงเฉิน บัญชีแค้นนี้กูจะจำไว้ กูต้องให้มึงชดใช้ให้กู”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะไปหาเรื่องจิ้นเฟิงเฉิน จิ้นเฟิงเฉินก็เป็นฝ่ายโจมตีเขาก่อนแล้ว
ในต่างประเทศ บริษัทสาขาของจิ้นกรุ๊ปคือทำธุรกิจด้านเวชภัณฑ์ จิ้นเฟิงเฉินแอบติดต่อกับคู่แข่งของสตีเฟนกรุ๊ป ร่วมมือกับพวกเขาโจมตีตลาดของสตีเฟน
ทั้งสองบริษัทเริ่มแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ของสตีเฟนกรุ๊ป จากนั้นก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาที่ราคาถูกกว่าของสตีเฟนกรุ๊ป นี่ทำให้สตีเฟนเริ่มได้รับความนิยมลดลง
รายได้หลักของสตีเฟนกรุ๊ปคืออุตสาหกรรมด้านยาและการแพทย์ หุ้นของบริษัทก็ค่อยๆตกลงเรื่อยๆ แม้แต่การผลิตยาก็ชะลอตัวลง
เรื่องก่อนหน้านี้บรรดาผู้ถือหุ้นก็ไม่พอใจจี้เฉินอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก บรรดาผู้ถือหุ้น ก็ยิ่งโกรธเกลียดจี้เฉิน เพราะเขาดึงดันจะทำตามใจตนเองโดยไม่รับฟังข้อเสนอของผู้อื่น จึงเกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น
ตอนนี้เองจี้เฉินถูกผู้ถือหุ้นกล่าวตำหนิในห้องประชุม แทบไม่เหลือโอกาสให้เขาได้แก้ตัว
หนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างมีมีชื่อเสียงก็ยืนขึ้นมาเวลานี้ ตำหนิจี้เฉินว่า “เดิมทีผมก็ไว้ใจท่านประธานจี้ แต่เรื่องที่คุณทำนั้นทำให้ผมผิดหวังมาก หวังว่าคุณจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของบริษัทกลับมาให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นผมคงต้องเสนอให้ปลดตำแหน่งปัจจุบันของคุณ”
“ใช่ หากวิธีการของคุณยังไม่สามารถทำให้พวกเราพอใจ พวกเราคงไม่ให้คุณบริหารบริษัทต่อแน่”
“ปลดคุณออกจากตำแหน่ง”
“……”
พอมีคนแสดงความคิดเห็นก็มีคนเสริมขึ้นมาอีกหลายคน จี้เฉินเห็นผู้คนมากมายต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างเมามัน ก็หัวเราะเยาะเมื่อคนเราตกต่ำทุกคนต่างก็พากันซ้ำเติมจริงๆ
เมื่อก่อนพวกเขาเห็นตนเองต่างก็อ่อนน้อม มาวันนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
แต่รอให้ถึงทีเขาก่อน ก็จะเป็นวันตายของคนพวกนี้
ตลอดการประชุมนี้ จี้เฉินถูกพวกเขาตำหนิจนปวดหัว รอให้ทุกคนจากไปแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องประชุมเพียงคนเดียว หยิบบุหรี่มาสูบต่อกันทีละมวนๆ
แต่ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก เมื่อครอบครัวของเขาส่งข่าวที่ไม่เป็นผลดีต่อเขานัก
พี่น้องของเขาเมื่อเห็นว่าเขาตกต่ำ ก็ค่อยเหยียบย่ำบนหัวของเขา
เรื่องที่บริษัททำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว ทางบ้านนั้นเขาแทบไม่มีเวลาไปสนใจดูแลเลย
เมื่อมีคนตกยากก็ย่อมต้องมีคนยินดี จิ้นเฟิงเฉินได้รับข่าวจากต่างประเทศ ก็พอใจอย่างมาก แต่ยังไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้
สิ่งเขาต้องการไม่เพียงแค่จี้เฉินชื่อเสียงป่นปี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ยิ่งอยากให้เขาใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้าย หมดหนทางมีชีวิตอยู่ต่อไป
จากสถานการณ์ที่เห็นตอนนี้ ผู้ช่วยเห็นสถานการณ์ตอนนี้ ผู้ช่วยต้องถอนหายใจกับวิธีที่เฉียบขาดรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด เมื่อใช้วิธีนี้ เกรงว่าจี้เฉินคงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่จึงจะฟื้นตัวได้
ปิดคอมพิวเตอร์ จิ้นเฟิงเฉินออกจากบริษัท
กลับมาถึงห้องนอน เห็นเจียงสื้อสื้อกำลังนอนกลางวัน จิ้นเฟิงเฉินจึงค่อยๆย่องไป กลัวว่าจะทำให้เธอตื่น
ขนตายาวทิ้งเงาเอาไว้บนเปลือกตา ผมดำขลับยาวสยาย ตอนนี้เธอเหมือนนางฟ้าที่ตกลงมายังโลกมนุษย์ ช่างน่ารักมาก บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างเธอจะไม่ให้เขาหลงรักได้อย่างไรกัน
ราวกับว่าเธอรู้สึกได้ถึงสายตาของคนข้างกาย เจียงสื้อสื้อค่อยๆลืมตาขึ้น
ตอนที่มองเห็นจิ้นเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้า ก็ตกใจ ถามอย่างงัวเงียเพราะเพิ่งตื่นนอนว่า “วันนี้ทำไมคุณกลับมาเร็วจังคะ”
เห็นเธอตื่นมา จิ้นเฟิงเฉินก็ขึ้นเตียงมาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดแล้วพูดว่า “ทำงานที่บริษัทเสร็จก็กลับมาเลย วันนี้ผมอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณได้ทั้งวันเลยนะ”
เจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง พูดอย่างดีใจว่า“จริงเหรอคะ ไม่ต้องไปบริษัทแล้วเหรอคะ”
หลายวันมานี้จิ้นเฟิงเฉินมักจะนอนที่บริษัท ต่อให้เจียงสื้อสื้ออยู่ที่บริษัทก็ไม่พบเขาสักสองสามครั้งอยู่ดี จู่ๆได้ยินว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนตน เจียงสื้อสื้อจึงไม่อยากจะเชื่อ
เห็นท่าทางดีใจของเธอ จิ้นเฟิงเฉินก็ลูบที่จมูกของเธอ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ผมเคยโกหกคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “วันนี้เสี่ยวเป่าไปเรียนพอดี พ่อกับแม่ไปโรงพยาบาล พวกเราจะได้อยู่ในโลกที่มีแต่สองเราช่วงระยะหนึ่ง”
โลกของสองเรา……เจียงสื้อสื้อเขินอายเล็กน้อย ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของจิ้นเฟิงเฉิน
อยู่บนเตียงจู๋จี๋อีกพักหนึ่ง เจียงสื้อสื้อจึงได้ลุกไปห้องน้ำ เตรียมแต่งตัว ไปออกเดตกับจิ้นเฟิงเฉิน
หลังจากที่เธอย้ายเข้ามา ก็มีเวลาส่วนตัวกับจิ้นเฟิงเฉินน้อยมาก เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่กับเสี่ยวเป่า หาโอกาสแบบนี้ได้ยากยิ่ง
หลังจากที่เธอเข้าไปห้องน้ำแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็เดินตามเข้าไป กอดเจียงสื้อสื้อจากทางด้านหลัง ศีรษะพิงที่ไหล่ของเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สื้อสื้อ รับปากผม ว่าคุณจะไม่มีวันจากผมไป”
เจียงสื้อสื้อถูกคำพูดกะทันหันของเขาทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ยิ้มพลางเอ่ยว่า“วางใจเถอะค่ะ ฉันไม่มีทางจากคุณไปไหน โอ้ย คุณออกไปก่อนนะคะ อย่างนี้ฉันแต่งหน้าไม่ได้ค่ะ”
“เมียผมต่อให้ไม่แต่งหน้าก็สวยมาก” จิ้นเฟิงเฉินอิดออดเล็กน้อย กอดเจียงสื้อสื้อไม่ปล่อยมือ
เจียงสื้อสื้อมองชายหนุ่มที่ออดอ้อนอย่างจนปัญญาเล็กน้อย ใครจะไปคิดว่าประธานจิ้นที่อยู่ข้างนอกมีอำนาจยิ่งใหญ่ เวลาอยู่ในบ้านจะมีท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนแบบนี้
การแต่งหน้าครั้งนี้ใช้เวลารวมแล้วสองชั่วโมง ความจริงแล้วไม่ใช่เจียงสื้อสื้อที่ชักช้าอืดอาด แต่เป็นจิ้นเฟิงเฉินที่คอยกวนเธอตลอด บางครั้งก็ก้าวมาจูบเธอ เจียงสื้อสื้อก็ไม่อาจปฏิเสธได้
ลังเลอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าอยู่นานมาก เจียงสื้อสื้อเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับเธอไม่ได้ จิ้นเฟิงเฉินจึงเสนอตัวมาช่วยเลือก
เห็นเสื้อผ้าเต็มตู้เสื้อผ้า จิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
สุดท้ายแล้วก็ยังตัดสินใจเลือกชุดให้เจียงสื้อสื้อจนได้ เธอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเคยซื้อชุดคู่รักมาหนึ่งชุด ไม่เคยมีโอกาสได้ใส่ออกไปไหนเลย ครั้งนี้ได้โอกาสหยิบออกมาใส่พอดี
หลังจากทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เตรียมออกเดินทาง เจอกับแม่จิ้นที่เพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลพอดี เห็นชุดที่ทั้งสองใส่ ก็ยิ้มไม่หุบ
“สื้อสื้อ แม่ว่าเธอกับเฟิงเฉินต้องสู้ๆหน่อยนะ รีบมีลูกอีกสักคน ฉวยโอกาสที่ตอนนี้แม่ยังแข็งแรงดี บวกกับเสี่ยวเป่าก็โตแล้ว สามารถช่วยพวกเธอเลี้ยงได้แล้ว”
คำพูดของแม่จิ้นทำให้เจียงสื้อสื้ออายมาก ไม่ได้ตอบอะไร กลับเป็นจิ้นเฟิงเฉินที่ยิ้มแล้วตอบว่า “วางใจเถอะครับแม่ ผมจะพยายาม”