ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 413 อย่าหาว่าไม่เกรงใจ
อย่าหาว่าไม่เกรงใจ
ในขณะเดียวกันหลานซือเฉินกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา ในมือถือแก้วน้ำและเคาะนิ้วลงไปบนโต๊ะ สายตาของเขาจับจ้องไปยังข้อความที่ส่งเข้ามา
เนื้อหาของข้อความพูดเกี่ยวกับเรื่องมรดกตระกูลเจียง หลานซือเฉินยิ้มเผยของความชั่วร้ายออกมา
คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเจียงนั่นจะทำเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง
เขาวางแก้วน้ำลงแล้วขับรถไปยังบ้านตระกูลเจียง เมื่อไปถึงที่บ้านเขาก็โทรศัพท์หาเจียงนวลนวล
“ผมอยู่ที่หน้าบ้านคุณ ลงมาเปิดประตูให้ผมหน่อย”
เมื่อเจียงนวลนวลได้ยินเสียงของหลานซือเฉินเธอก็ดีใจจนพูดไม่ออก แล้วรีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้เขา
“ซือเฉิน มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เจียงนวลนวลถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลานซือเฉินเปิดประตูข้างคนขับให้เธอแล้วพูดว่า “เราจะไปพบกับคนคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมรดกของคุณปู่”
เมื่อได้ยินว่าเป็นมรดก เจียงนวลนวลก็ดีใจและตื่นเต้นมาก เงินจำนวนนั้นสำหรับเธอสำคัญมากจริงๆ ถ้ามีเงินก้อนนั้นเธอคงไม่ต้องลำบากแบบนี้
เจียงนวลนวลเข้าไปนั่งในรถ แล้วทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่สำนักงานกฎหมายด้วยกัน
“นี่คือ……” เจียงนวลนวลมองไปยังหลานซือเฉินแล้วเอ่ยถาม
หลานซือเฉินพูดว่า “นี่คือสำนักทนายความที่จัดการเรื่องมรดกของคุณปู่ เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับเขามาก เพียงแค่เขายินยอมช่วยเหลือคุณ พวกเราอาจจะได้รับมรดกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์!”
เมื่อพูดจบเขาก็ยื่นมือออกมาและจูงมือเจียงนวลนวล
การกระทำของเขานี้ทำให้เจียงนวลนวลรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เธอยื่นมือไปให้เขา ทั้งสองคนจึงได้กุมมือเดินเข้าไปในสำนักงานกฎหมายด้วยกัน
สิ่งที่หลานซือเฉินคิดนั้นคือ “จากพินัยกรรมฉบับนั้น ทนายคนนี้เป็นคนร่างขึ้น ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของมรดกคุณปู่ เมื่อถึงเวลาผมจะหาวิธีจัดการกับพินัยกรรมนั้น ถึงแม้จะรู้ว่าโอกาสมีไม่มากแต่ก็ยังมีกว่าไม่ได้ลอง หากไม่ได้ลองดูจะรู้ได้อย่างไร?”
เจียงนวลนวลเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันจึงได้เอ่ยถามว่า “คุณคิดว่าจะประสบความสำเร็จไหมคะ?”
เจียงนวลนวลไม่มั่นใจนักเขาจึงตอบไปว่า “พวกเราลองดูก่อนครับ ถ้าสำเร็จขึ้นมาล่ะ!”
“แต่ว่าทนายความของคุณปู่คงจะเป็นทนายความชั้นยอดจริงๆ พวกเราจะทำลายพินัยกรรมฉบับนั้นได้เหรอคะ?” เจียงนวลนวลรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
คำพูดของเธอทำให้หลานซือเฉินรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากจึงตอบกลับไปว่า “ทำไมคุณต้องตีตนไปก่อนไข้?พวกเรายังไม่ได้เข้าไปด้วยซ้ำ คุณก็คิดจะถอยออกแล้ว อยากให้ทรัพย์สินตกอยู่ในกำมือของเจียงสื้อสื้อเหรอ?”
แน่นอนว่าเจียงนวลนวลไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เธอจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกและได้แต่เดินตามหลังเขาเข้าไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเดินเข้าไปถึงด้านใน หลานซือเฉินก็ตรงเข้าไปหาทนายความคนนั้น ก่อนที่จะเดินทางมาเขาได้ตรวจสอบอย่างชัดเจนว่าทนายความคนนั้นอยู่ที่ไหนชื่ออะไรและเขารู้ข้อมูลเบื้องต้นชัดเจน
เนื่องจากเป็นสมบัติของตระกูลเจียง ทำให้หลานซือเฉินไม่อาจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ จึงให้เจียงนวลนวลเข้าไปสอบถาม
“สวัสดีค่ะคุณทนาย ขอรบกวนหน่อยนะคะ พอดีฉันมีคำถามอยากจะถามคุณ รบกวนเวลาคุณสักหน่อยไม่ทราบว่าสะดวกไหม ?” เนื่องจากจำเป็นต้องให้เขาช่วยเหลือ ดังนั้นเจียงนวลนวลจึงได้พูดจาอย่างมีมารยาทถ่อมตน
เมื่อทนายความได้ยินดังนั้นก็คิดไปว่าเธอคงเป็นคนที่ไม่เข้าใจในกฎหมายและกำลังจะหาใครสักคนมาช่วยเธอทำธุระอยู่ ดังนั้นจึงรีบเปิดประตูและพูดว่า “เข้ามาครับ”
เจียงนวลนวลกล่าวขอบคุณแล้วเดินเข้าไปพูดว่า “ฉันขออนุญาตถามหน่อยว่า มีวิธีไหนจะทำลายพินัยกรรมได้ไหมคะ?”
เมื่อทนายความได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นและมองมาที่เธออย่างความรู้สึกเหลือเชื่อพูดว่า
“หากคุณเป็นบุคคลแรกในการรับมรดกก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะ”
ประโยคของเขานี้ชัดเจนว่าถ้าหากเธอไม่ใช่ผู้รับมรดกอันดับแรกก็อย่าได้คิดทำการใดๆเลยจะดีกว่า
เจียงนวลนวลไม่ทันได้เข้าใจในความหมายของเขา จึงได้ถามกลับไปว่า “หมายความว่ายังไงคะ?ไม่ได้เหรอคะ?แต่เขาเป็นคุณปู่ของฉันนะ ฉันไม่มีสิทธิ์ได้มรดกเลยสักนิดหรือไง?”
เมื่อได้ยินเธอพูดดังนั้นหลานซือเฉินก็รู้สึกผิดหวังจริงๆที่พาเธอเข้ามา หากไม่ใช่เพราะเธอเป็นหลานสาวของผู้เฒ่าเจียง เขาคงไม่อยากจะพูดคุยกับคนที่โง่ขนาดนี้……
ทนายความผู้นั้นเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงได้ถามออกมาว่า “คุณแซ่เจียงเสียงใช่ไหม?”
หลานซือเฉินกำลังจะส่งสัญญาณไปให้เธอ ใครจะคิดกันล่ะว่าเธอพยักหน้าโดยทันควัน!
“ผมพอจะรู้แล้วละว่าพวกคุณเป็นใคร ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกคุณเชิญกลับไปเถอะ” ทนายความผู้นั้นไม่เงยหน้าขึ้นมาอีก
นวลนวลได้ยินเขาพูดดังนั้นก็โมโหมากแล้วตะโกนออกไปว่า “ทำไมคุณถึงเป็นคนแบบนี้นะ?เมื่อกี้ก็พูดกันอยู่ดีๆไม่ใช่หรือไง?”
คิดไม่ถึงว่าเมื่อทนายความคนนั้นได้ยินแล้วเพียงพูดออกมาเบาๆว่า “ถ้าผมรู้ว่าพวกคุณเป็นคนจากบ้านตระกูลเจียงก็คงไม่ให้คุณเหยียบเข้ามาที่นี่หรอก!”
เมื่อเผชิญหน้ากับทนายความเช่นนี้ เจียงนวลนวลโมโหจนพูดไม่ออก
แต่หลานซือเฉินกลับนิ่งสงบ เขาเพียงพูดออกไปว่า “คุณทนายความครับ ถ้าคุณเต็มใจช่วยเหลือเราล่ะก็พวกเรายินดีจะแบ่งมรดกหนึ่งในสามเป็นการตอบแทน”
เมื่อได้ยินหลานซือเฉินพูดอย่างใจกว้างเช่นนั้น เจียงนวลนวลก็ตกใจจนพูดไม่ออกและรีบเข้าไปห้ามเขา
ในความเป็นจริงวายร้ายอย่างหลานซือเฉินเขาก็เพียงพูดไปเท่านั้น จะยอมมอบเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?!
ใครจะไปคิดว่าชายชราไม่เพียงแต่ไม่สนใจ แต่เขาพูดกลับมาตรงๆว่า “อย่าว่าแต่หนึ่งในสามเลย ต่อให้ยกให้ผมทุกบาททุกสตางค์ผมก็ไม่อยากได้!”
พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าทนายความนี้กับผู้เฒ่าเจียงเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน พินัยกรรมฉบับนั้นเขาได้เขียนมันขึ้นกับมือของตัวเองและรู้ดีว่านายเฒ่าเจียงรักและเอ็นดูเจียงสื้อสื้อมากขนาดไหน เขาจะปล่อยให้คนโลภมากสองคนนี้มาแย่งทรัพย์สินของเจียงสื้อสื้อไปได้ยังไง?
หลานซือเฉินเดินออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดและสีหน้าไม่น่าดูเท่าไหร่นัก
เจียงนวลนวลเองก็เช่นกัน เขาถูกชายชราคนนั้นทำให้อารมณ์เสียเป็นที่สุด เลยบ่นออกมาว่า “ตาแก่นี่ไม่ยอมช่วยพวกเราแน่ เราจะทำยังไงกันดี?”
เธอหันไปเห็นหลานซือเฉินยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “พูดดีๆไม่ชอบก็คงต้องใช้ไม้แข็งแล้วล่ะ เมื่อถึงเวลาจะหาว่าผมไม่เกรงใจ!”
น้ำเสียงของเขานั้นทำให้เจียงนวลนวลรู้สึกตกใจจนตัวสั่น เธออยากรู้จริงๆว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร
แต่หลานซือเฉินไม่ได้บอกกับเธอ
หลานซือเฉินเป็นคนที่อยากได้อะไรต้องได้ นับประสาอะไรกับทนายความแก่คนนี้ที่มาปิดกั้นวิธีการหาเงินของเขา
ในวันนั้นเมื่อทนายความเดินทางกลับบ้านก็เกิดเรื่องขึ้น
บอดี้การ์ดชุดดำกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาขวางหน้าเขาไว้
“พวกคุณจะทำอะไร?” ทนายความคนนั้นเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ง่ายมากๆ เพียงแค่คุณมอบพินัยกรรมฉบับนั้นออกมาก็พอ” คนที่เดินนำหน้ามาพูดขึ้น