ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 437 ความรู้สึกในการแย่งชิงของๆคนอื่นมันเป็นยังไง
- Home
- ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?!
- บทที่ 437 ความรู้สึกในการแย่งชิงของๆคนอื่นมันเป็นยังไง
บทที่ 437 ความรู้สึกในการแย่งชิงของๆคนอื่นมันเป็นยังไง
แต่เจียงสื้อสื้อเองก็ไม่ได้โง่ เรื่องที่เจียงซื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของใหม่นั้นดังกระฉ่อนไปทั่ว
บวกกับการที่จิ้นเฟิงเฉินดูเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานมากเป็นพิเศษ ต่อให้เธอจะสมองช้าแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติหรอก
ในวันนี้ หลังจากที่กินข้าวเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้กลับเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเริ่มทำงานต่อ เจียงสื้อสื้อเรียกเขาไปสองครั้งแต่ไม่เห็นการตอบสนองใดๆ จากเขา
เจียงสื้อสื้อวางนมร้อนที่อยู่ในมือลง แล้วเอ่ยถามไปว่า “เฟิงเฉินคะ คุณบอกฉันมาตามตรงเลยนะ ว่าช่วงนี้คุณกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องของเจียงซื่ออยู่ใช่ไหมคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินที่รู้ว่าปิดไม่มิดแล้วก็ได้พยักหน้าตอบไป “ผมไม่สามารถทนดูทรัพย์สินของตระกูลคุณตกไปอยู่ในมือของคนอื่นอย่างง่ายดายแบบนี้ได้หรอกครับ”
ความจริงเจียงสื้อสื้ออยากจะบอกกับจิ้นเฟิงเฉินไปว่า ตอนนี้เธอกับตระกูลเจียงไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าตอนนี้เจียงซื่อจะเป็นยังไงเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร จิ้นเฟิงเฉินก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “ผมรู้ดีว่าคุณอาจจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ว่าผู้ถือหุ้นหลายๆ คนก็ไม่ได้อยากให้เจียงซื่อเปลี่ยนเจ้าของเลยสักนิด ส่วนคุณก็เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้อง ไม่มีใครมีปัญหาแน่นอนถ้าคุณจะขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งของประธานบริษัท ในทางกลับกันมันก็ถือเป็นการรักษาเจียงซื่อให้สามารถอยู่ต่อได้เหมือนกันครับ”
“แต่ว่า……”
ตอนแรกเจียงสื้อสื้อก็อยากจะแย่งอยู่เหมือนกัน แต่พอหวนคิดไปว่าการที่เจียงซื่อสามารถมีวันนี้ได้ แม่ของเธอก็มีส่วนร่วมกับมันมาไม่น้อยเลย
หยาดเหงื่อที่แม่เสียไปส่วนหนึ่งก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน
ถึงเธอจะไม่อยากสนใจ แต่อย่างน้อยก็ควรนึกถึงความรู้สึกของแม่บ้าง
ถ้าว่าหนึ่งเธอเกิดฟื้นขึ้นมาจริงๆ แล้วเห็นเจียงซื่อที่เธอร่วมสร้างมาตกไปเป็นของคนอื่น เธอจะต้องรู้สึกเสียใจมากแน่ๆ
เหมือนจิ่นเฟิงเฉินจะมองออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ถึงคุณจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ก็มีความนึกถึงความรู้สึกของคุณแม่บ้างนะครับ คุณสามารถมองดูเจียงซื่อตกไปอยู่ในมือของคนอื่นโดยที่ไม่ยอมทำอะไรเลยได้เหรอครับ?”
พอนึกถึงสภาพของแม่ในอดีต เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกมีแรงฮึดสู้ขึ้นมาทันที
ตอนนั้นเธอยังมีความสามารถไม่มากพอ แล้ววันนี้เธอยังจะสามารถปล่อยให้แม่ต้องทนทุกข์เสียใจอีกครั้งหรือไง?
ผ่านไปสักพักกว่าเธอจะยอมพยักหน้า
“ได้ค่ะ ฉันจะทำตามที่คุณบอก”
จิ้นเฟิงเฉินหันกลับมาแล้วกุมมือเธอไว้แน่นๆ
นมร้อนที่วางอยู่บนโต๊ะกำลังเรียกร้องความสนใจโดยการพ้นควันออกมาเป็นสายๆ ราวกับมันต้องการจะบอกว่าใครก็ได้ช่วยปิดฉากบรรยากาศที่แสนตึงเครียดนี้ที
จิ้นเฟิงเฉินยกนมแก้วนั้นขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วหันกลับไปจดจ่อกับหน้าจอคอมต่อ
การทำงานของเขาเป็นไปด้วยความเรียบง่าย
ในวันต่อมา พวกระดับสูงของเจียงซื่อก็ได้มานั่งรวมกันอีกครั้ง ต่างคนต่างรู้สึกไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างต่อจากนี้
บางคนที่รู้เรื่องอยู่แล้วก็ได้มองไปยังหลินหยวนที่กำลังนั่งอยู่ตรงที่นั่งของประธาน และรู้สึกว่าเขาที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเหมือนส่วนเกิดที่ไม่ควรมีอยู่
ท้องฟ้าข้างก็แสนอึมครึม เมฆดำปกคลุมลงมา ราวกับต้องการบอกเป็นนัยว่าบรรยากาศในวันนี้มันไม่สงบเอาเสียเลย
ส่วนเจียงซื่อในวันนี้ก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน
คุณท่านโม่เป็นคนที่นั่งอยู่ใกล้ หลินหยวนที่สุด ได้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “คนแซ่หลิน ตำแหน่งประธานบริษัทของเจียงซื่อที่คุณกำลังนั่งอยู่นี้ มันนั่งสบายรึเปล่า?”
น้ำเสียงที่เขาพูดออกมาเต็มไปด้วยความครุมเครือ ใครได้ยินเข้าก็ต้องรู้สึกอึดอัดไปตามกัน
ในทันใดนั้น เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินก็ได้เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
เจียงสื้อสื้อมองไปรอบๆ และได้วางเอกสารที่เป็นกรรมสิทธิ์การถือหุ้นชุดหนึ่งไว้บนโต๊ะ
“นี่คือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในการถือหุ้นของฉัน จำนวนหุ้นที่ฉันถือพร้อมกับการเอกสารการโอนเจียงซื่อกรุ๊ปได้ถูกระบุไว้ในนี้อย่างชัดเจนแล้ว ทุกท่านลองดูค่ะว่ามันมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
เจียงสื้อสื้อมาในชุดกระโปรงสีดำ ทำให้เธอดูสุขุมเยือกเย็น น้ำเสียงที่พูดก็ค่อนข้างเยือกเย็น ทำในบรรยากาศภายในห้องดูหนาวเย็นลงทันที
เอกสารถูกส่งต่อไปรอบๆ และเห็นว่าหุ้นทั้งหมดเป็นชื่อของเจียงสื้อสื้อ
สถานะของเธออยู่ในตำแหน่งประธานบริษัท ทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
พอเห็นว่าทุกคนได้อ่านไปหมดแล้ว เจียงสื้อสื้อจึงได้พูดขึ้นว่า “ฉันชื่อเจียงสื้อสื้อ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทของเจียงซื่อกรุ๊ป ในวันที่คุณปู่ของฉันเสียบริษัทนี้ก็ถูกโอนกรรมสิทธิ์มาที่ฉันแล้ว มันไม่ได้เป็นของเจียงเจิ้น ดังนั้น การเปลี่ยนประธานบริษัทของพวกคุณจึงไม่มีผลบังคับใช้ในทางกฎหมาย”
พอพูดจบ เธอก็ได้หันไปมองหลินหยวนที่กำลังนั่งอยู่ และถามขึ้นว่า “ประธานหลิน ความรู้สึกในการแย่งชิงของๆคนอื่นมันเป็นยังไงบ้างคะ?”
คำว่าประธานหลินคำนี้ ช่างพูดได้กวนประสาทเหลือเกิน
หลินหยวนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ได้รู้สึกนั่งไม่ติดตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากที่จะลงจากที่นั่งนี้
เมื่อเห็นว่าหลินหยวนยังไม่มีการตอบสนอง พวกผู้ถือหุ้นที่ถูกปลุกระดมกับคุณท่านโม่ก็เริ่มช่วยกันพูดเข้าข้างเจียงสื้อสื้อขึ้นมาทันที
การที่จู่ๆ เจียงสื้อสื้อก็กลับมาแบบนี้ มันก็ทำให้หลายๆ คนรู้สึกไม่พอใจอยู่เหมือนกัน
แต่พอเหลือบมองจิ้นเฟิงเฉินที่ยื่นอยู่ข้างๆ เธอ พวกเขาก็ต้องเงียบปากไปในทันที
ถึงแม้ในใจของหลินหยวนจะไม่เห็นด้วยมากขนาดไหนก็ตาม แต่เขาในตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริงๆ จึงต้องจำใจลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไร้ทางสู้
ก้นที่ยังไม่ทันได้นั่งอุ่นเลย ก็ต้องเตะลงจากเก้าอี้แล้ว
ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งไม่ถึงครึ่งเดือน ถือเป็นประธานบริษัทที่รับตำแหน่งสั้นที่สุดเท่าที่เจียงซื่อกรุ๊ปถูกก่อตั้งมาเลย
พอเห็นเขาเดินออกจากห้องประชุมมา เจียงเจิ้นที่นั่งอยู่หน้าประตูก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ไม่ว่ายังไงเจียงสื้อสื้อก็คือลูกสาวของเขา การที่เธอเข้ามาในดำรงตำแหน่งแบบนี้มันก็ต้องดีกว่าการถูกคนอื่นแย่งไปอยู่บ้างแหละ
เจียงสื้อสื้อนั่งลงบนที่นั่งประธานอย่างสง่างาม จากนั้นก็กวาดตามองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ
แล้วทุกๆ คนก็รับรู้ถึงออร่าของความเป็นผู้นำที่แผ่ออกมาจากตัวเธอได้ในทันที
ที่ผ่านมา เธอที่เอาแต่ยืนอยู่ข้างๆ จิ้นเฟิงเฉิน จึงทำให้ใครต่อใครต่างก็ดูถูกความสามารถในตัวเธอ
แต่ในตอนนี้ ตอนที่เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนี้ ทุกคนก็ได้ประจักษ์แล้วว่าเธอเองก็มีคุณสมบัติมากพอที่จะนั่งมันเหมือนกัน
มันแตกต่างจากการพูดเยินยอหลินหยวนในครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ในครั้งนี้ เมื่อเจียงสื้อสื้อนั่งลงไป ทุกคนต่างพากันเงียบกริบราวกับว่าทุกคนกำลังรอฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อจากนี้
เจียงสื้อสื้อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ก่อนอื่นฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนฉัน แต่ก่อนอื่นเลยถึงฉันจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทก็จริง แต่ฉันจะไม่เข้ามาบริหารด้วยตัวเอง เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ฉันจะส่งตัวแทนมาบริหารแทนค่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้น เจียงเจิ้นก็เชิดหน้าขึ้นมาทันที ในใจรู้สึกตื่นเต้น
ถ้ามองในภาพรวม การที่จะหาใครสักคนเข้ามาบริหารบริษัท ตอนนี้ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว
ถ้ามองด้านความสัมพันธ์ส่วนตัว เดิมทีเจียงซื่อกรุ๊ปก็เป็นของเขาอยู่แล้ว เจียงสื้อสื้อเองก็เป็นลูกสาวของเขา การที่จะมอบภาระหน้าที่นี้ให้กับเขามันก็เป็นเรื่องที่เข้าท่าที่สุดแล้ว
ในขณะที่เขากำลังคิดอย่างนี้อยู่นั้น เขาก็ได้มองไปทางเจียงสื้อสื้อ
คาดหวังว่าคำพูดต่อไปที่จะออกจากปากเธอก็คือการมอบบริษัทนี้ให้เขาเป็นคนดูแล
แต่ไม่นึกเลย เจียงสื้อสื้อได้เรียกคนที่อยู่นอกประตูให้เข้ามาโดยที่ไม่ได้สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ “เชิญเข้ามาค่ะ” พูดจบก็ได้มีชายวัยกลางคนๆหนึ่งเปิดประตูเข้ามา แล้วมายืนเงียบๆ อยู่ข้างเจียงสื้อสื้อ
“นี่คือประธานอี้ค่ะ เขาจะมารับตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของที่นี่ เพื่อบริหารเจียงซื่อกรุ๊ปแทนฉัน ท่านไหนมีข้อสงสัยอะไรไหมคะ?”
เจียงสื้อสื้อแนะนำเขาอย่างง่ายๆ จากนั้นก็โยนคำถามออกไป
“ผมมีคนถามครับ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยกมือขึ้น “แล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไงครับว่าคนๆ นี้จะมีความสามารถมากพอที่จะบริหารที่นี่?”
แล้วทันใดนั้นเอง จิ้นเฟิงเฉินก็ได้พูดขึ้นว่า “เขาคือคนที่ผมคัดเลือกมาจากจิ้นกรุ๊ปโดยเฉพาะ หรือคุณคิดว่าจิ้นกรุ๊ปของเราจะเลี้ยงคนที่ไร้ความสามารถไว้อย่างนั้นเหรอครับ?”
พูดจบ ทุกคนในที่ประชุมก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีกเลย
เพราะคงไม่มีใครอยากเข้าไปมีเรื่องกับจิ้นกรุ๊ปหรอก นอกจากจะอยากรนหาที่ตายเท่านั้น