ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 494 เมื่อยามยากก็บินจากไป
หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจียงเจิ้นก็พาคนกลุ่มนี้ไปยังโรงรถใต้ดิน
เขายื่นกุญแจรถให้คนพวกนั้นอย่างเจ็บปวดใจ นักเลงกลุ่มนั้นจึงได้จากไป
เมื่อทุกคนกลับออกไปแล้ว เขาก็เดินเข้ามาในบ้านด้วยความโมโห
เสิ่นซูหลันกำลังชี้นิ้วให้คนใช้เก็บกวาด เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เธอก็ทำเป็นเชื่อฟังราวกับหนูเห็นแมว
เมื่อเห็นท่าทางของเธอเช่นนั้นเจียงเจิ้นก็ยิ่งโมโห เขาหน้าเขียวหน้าเหลืองและตะโกนออกมาด้วยความเย็นชาว่า “มานี่!”
เสิ่นซูหลันไม่กล้าลังเล เธอรีบปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
เจียงเจิ้นปิดประตูดังปังทำให้เสิ่นซูหลันตกใจกลัวจนตัวสั่น
จากนั้นเขาก็ทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะ เจียงเจิ้นตะโกนใส่เสิ่นซูหลันอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “คุณนี่มันใจกล้ามากขึ้นทุกวันแล้วนะ! กล้ายืมแม้กระทั่งเงินกู้นอกระบบ”
“ที่รักคะฉันขอโทษ ฉันรู้ว่าฉันผิดไปแล้ว คุณยกโทษให้ฉันครั้งนี้นะคะ”
เสิ่นซูหลันตกใจกลัว เธอกำมือทั้งสองข้างแน่น น้ำตานองหน้ามองไปทางเจียงเจิ้น
“ไม่ต้องมาใช้กลอุบายแบบนี้มันไร้ประโยชน์ไปแล้ว ถ้าผมรู้ว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ก็คงจะเลิกกับคุณไปนานแล้ว ผมขอถามหน่อย ยังติดหนี้ที่อื่นอีกหรือเปล่า?”
เจียงเจิ้นมองไปยังเสิ่นซูหลันด้วยสายตาเกลียดชัง แววตานั้นแฝงไปด้วยความผิดหวัง
เสิ่นซูหลันได้ยินเจียงเจิ้นพูดว่าจะเลิก สีหน้าของเธอก็ซีดเผือดทันที เธอรีบส่ายหน้าแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่มี ไม่มีแล้วค่ะ ที่จริงเงินกู้นอกระบบในครั้งนี้ฉันไม่ได้เป็นคนยืม น้องชายฉันใช้ชื่อในการกู้ ไม่ใช่ฉันไม่ใช่ฉันจริงๆนะคุณต้องเชื่อฉัน”
เธอดึงแขนเสื้อของเจียงเจิ้นแล้วร้องไห้ร้องห่มอย่างเจ็บปวดใจ
เมื่อเช่นได้ยินดังนั้นก็โมโหจนแทบกระอักเลือด
ตอนนี้ในใจของเขาโกรธ และผิดหวังมากจริงๆ
น้องชายอันไร้ประโยชน์ของเสิ่นซูหลันคนนั้น ก่อเรื่องขึ้นมาจนได้
ในตอนนั้นเขาเอาตัวเองเข้าไปเกลือกกลั้วกับตระกูลแบบนี้ได้อย่างไร?
เขาจ้องไปยังเสิ่นซูหลันเนิ่นนานทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืนมา
เมื่อเห็นเธอร้องไห้ร้องห่มน้ำตานองหน้าแบบนั้น ในฐานะที่เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีในที่สุดเขาก็ใจอ่อน
“ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีกผมขอหย่ากับคุณทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ”
เขาพูดประโยคทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินจากไป
หลังจากที่เขาเดินจากไป เสิ่นซูหลันก็เซและล้มลงที่พื้น เธอใจลอยอยู่เป็นเวลานาน
คำพูดของเจียงเจิ้นนั้นดังก้องอยู่ในใจของเธอ สีหน้าค่อยๆซีดลงท่าทางตื่นตระหนก
เมื่อสักครู่เธอไม่กล้าพูดความจริงกับเจียงเจิ้นว่านอกจากเงินหลายล้านนี้แล้วน้องชายของเขายังติดหนี้อยู่มากกว่านี้อีก……
เมื่อถึงเวลาค่ำ เจียงเจิ้นยังไม่ได้กลับมาบ้าน เสิ่นซูหลันจึงตัดสินใจบางอย่างเด็ดขาด
ถ้าจะให้ทนอยู่กับความกลัวทุกวันแบบนี้ เธอจากไปเสียดีกว่า
เธอเริ่มลงมือเก็บของ จากนั้นเดินออกมาจากตระกูลเจียงซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยใช้ชีวิตมา 20 กว่าปี
เช้าวันต่อมา เมื่อ เจียงเจิ้นกลับมาบ้านเขาก็ยังคงโมโหและไม่พอใจดังเดิม
เขาตะโกนเรียกชื่อเสิ่นซูหลันแต่ไม่มีคนตอบกลับมาจึงได้เดินขึ้นไปชั้นบน
เมื่อพบว่าสภาพห้องเหมือนถูกขโมยขึ้นบ้านเช่นก็ตกใจ
สัญชาตญาณแรกของเขาก็คือ คนพวกนั้นกลับมาอีกแล้วหรือ? แต่ต่อจากนั้นเขาก็พบว่านี่ไม่ใช่ขโมยขึ้นบ้าน
เนื่องจากสิ่งของที่หายไปล้วนเป็นของเสิ่นซูหลัน แต่ของตนนั้นยังอยู่ครบไม่ขยับเขยื้อน
เจียงเจิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นซูหลันแต่ปลายสายไม่มีเสียงตอบรับ
เธอหนีออกจากบ้านไปอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อเขาไปถามคนรับใช้ที่อยู่ด้านล่างพวกคนรับใช้ทั้งหลายจึงบอกว่า เมื่อวานตอนกลางคืนเสิ่นซูหลันได้เดินทางออกไปแล้ว
เจียงเจิ้นรู้สึกว่านี่มันช่างน่าตลกจริงๆ เธอทำตามที่เขาพูดจริงๆงั้นเหรอ
สามีภรรยาก็เหมือนนกในป่าเดียวกัน แต่เมื่อภัยพิบัติมาถึงก็ต่างคนต่างเดินจากไป
ความรักที่เขามีให้เธอมาตั้งหลายปีตอนนี้กลับถูกทอดทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
เจียงเจิ้นนั่งลงที่พื้นอย่างหดหู่ เขามองดูสิ่งที่เหลืออยู่รอบกาย
ลูกสาวคนโตปฏิเสธที่จะพบเขา ลูกสาวคนเล็กก็กลับหายตัวไปแถมมีหมายจับ ตอนนี้ภรรยาของเขาก็หนีออกจากบ้านไปแล้ว
ชีวิตมันช่างน่าสงสารจริงๆ
อีกวันต่อมา มีนักเลงกลุ่มหนึ่งมาทุบประตูบ้านของเขาอีก ทำให้เจียงเจิ้นตกใจมาก
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบชายหน้าบากวันนั้น เขากลับมาอีกครั้งทั้งยังพาเสิ่นเต๋อน้องชายของเสิ่นซูหลันมาด้วย
ชายหน้าบากคนนั้นตะโกนพูดกับเจียงเจิ้นว่า “ไอ้หมอนี่มันติดเงินพวกเรา ไม่เพียงแค่นั้นนะอีกทั้งยังมาหลอกพรรคพวกเราด้วย รบกวนช่วยใช้หนี้แทนมันด้วยไม่อย่างนั้นในวันนี้ฉันจะตัดแขนมันทิ้งซะ!”
เสิ่นเต๋อได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงมาก เขารีบพูดจาร้องขอความเมตตา “พี่เขยครับ พี่ต้องช่วยผมนะขอร้องล่ะช่วยผมด้วย”
เจียงเจิ้นขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ช่วยเหรอ?ฉันจะช่วยแกยังไง ตอนนี้พี่สาวคนเดียวของแกก็ไม่เอาแกแล้ว ฉันจะไปช่วยแกเพื่ออะไร? ฉันจะบอกให้นะว่าถ้าแกยังมีจิตใต้สำนึกอยู่ละก็ พาคนของแกออกไปจากที่นี่ซะไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจ”
เมื่อพูดจบ ชายร่างเล็กคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาแล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “แจ้งตำรวจอย่างนั้นเหรอ?ดี! พวกเราก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ให้ตำรวจมาดูว่าไอ้หมอนี่มันกู้เงินพวกเราไปเยอะขนาดไหน ให้ตำรวจช่วยพิจารณาว่าถ้ากู้เงินไปแล้วไม่ชดใช้จะต้องทำยังไง ไม่มีเงินจ่ายก็ต้องชดเชยด้วยชีวิต!”
เมื่อพูดจบเขาก็เข้าไปคว้าปกเสื้อของเจียงเจิ้นไว้ด้วยท่าทางน่ากลัว
เนื่องจากเมื่อคืนเขานอนไม่หลับ วันนี้ก็ยังไม่ได้กินข้าว สมองของเจียงเจิ้นจึงค่อนข้างมึนงง เมื่อถูกเขาคว้าคอเสื้อไว้เช่นนี้จึงทำให้ยืนไม่มั่นคง
ชายคนนั้นเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็คิดว่าแกล้งทำ ถึงได้ซัดเจียงเจิ้นเข้าไปเต็มเปา ปรากฏรอยเลือดไหลออกมาจากปาก
“ไอ้แก่ แกอย่ามาทำเป็นน่าสงสาร วันนี้ถ้าแกไม่มีตังค์อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ!”
เมื่อเจียงเจิ้นถูกพวกเขาต่อยเข้าให้เต็มเปา ภาพข้างหน้าก็เริ่มมืดลง ตัวเขาเอนไปเอนมาสักพักก่อนจะดีขึ้น
เขามองไปยังใบหน้าน่าเกลียดแล้วพูดออกมาโดยไม่มีความเกรงกลัวว่า “ฉันบอกแล้วว่าฉันจะไม่เอาเงินสักบาทเดียวออกมาให้พวกแก ถ้าพวกแกอยากได้ก็ฆ่าฉันเถอะ!”
เมื่อพูดจบเขาก็หลับตาลง นักเลงคนนั้นโมโหจนจะลงไม้ลงมือ ในขณะที่เขากำลังจะทำอะไรลงไปชายหน้าบากก็ส่งเสียงกระแอมเตือนขึ้น ชายคนนั้นจึงได้เดินไป
เขาถามด้วยสีหน้าหงุดหงิดว่า “ลูกพี่ ทำยังไงต่อไปดี?”
ชายหน้าบากคนนั้นมองไปรอบๆกายแล้วพูดว่า “เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่นี่ไม่เลวเลยน่าจะมีของมีค่าอยู่ในบ้านบ้าง มันบอกว่าจะไม่เอาเงินออกมาแม้แต่บาทเดียวไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นเราก็เอาของไปสิ อย่าให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว”
เมื่อได้ยินคำสั่งของลูกพี่ เขาก็เรียกพรรคพวกตรงเข้าไปในบ้านจากนั้นทุบสิ่งของที่ไม่จำเป็นและยึดสิ่งของมีค่า
เจียงเจิ้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้านี้เขาก็รู้สึกกังวลมาก จึงได้วิ่งเข้าไปห้ามแต่กลับถูกผลักจนล้มลงสู่พื้น
ศีรษะของเขากระทบเข้ากับโต๊ะที่ยื่นออกมา ประกอบด้วยอารมณ์ที่กำลังโกรธจึงทำให้เขาเป็นลมไป
เมื่อนักเลงเหล่านั้นเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากศีรษะของเจียงเจิ้นไม่น้อย พวกเขาก็เริ่มตื่นตระหนก
ชายหน้าบากเห็นดังนั้นก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงได้กำชับให้พรรคพวกออกจากตระกูลเจียงในทันควัน
เมื่อทุกคนจะออกไปแล้ว พ่อบ้านจึงได้ก้าวออกมา
มองเห็นสภาพเจียงเจิ้นที่มีเลือดไหลออกมาตรงศีรษะก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลแล้วส่งเขาเข้ารักษา
ไฟในห้อง ICU เปิดสว่างขึ้น พ่อบ้านรีบเดินตามเข้าไปอย่างเคร่งเครียด
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทีมแพทย์ก็ออกมาจากห้อง ICU ด้วยสีหน้ากังวล
“คุณเป็นญาติของผู้ป่วยใช่หรือเปล่า?”
พ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็ส่ายหัว “ผมเป็นเพียงแค่พ่อบ้านของเขา ไม่ได้เป็นครอบครัวโดยตรง”
ทีมแพทย์ได้ยินดังนั้นก็พูดว่า “ตอนนี้สถานการณ์ของคนไข้อยู่ในขั้นวิกฤติ คุณควรจะติดต่อสมาชิกในครอบครัวของเขาให้มาเซ็นเอกสาร ทางที่ดีควรติดต่อคนในครอบครัวของเขาดีกว่า”