ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 500 คุณภรรยา ผมนอนเป็นเพื่อนนะ
บทที่ 500 คุณภรรยา ผมนอนเป็นเพื่อนนะ
จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งมาถึงพื้นที่การทำเหมืองแร่ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาไม่มีเวลามากพอที่จะไปหาเพชร เมื่อได้ยินดังนั้นจึงทำได้เพียงว่า “ผมรับปากว่าจะดีขึ้น ไม่เกิดเรื่องเเน่ครับ”
“นั่นเป็นการทำลายจากธรรมชาตินะคะ คุณจะรับปากได้ยังไง?” เจียงสื้อสื้อเริ่มกังวล
“สื้อสื้อ คุณฟังผมนะ พื้นที่การทำเหมืองแร่ของตระกูลจิ้นปลอดภัยมาก ที่เกิดเรื่องนั้นเป็นของข้างๆ ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย คุณวางใจได้” จิ้นเฟิงเฉินอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด อีกทั้งย้ำว่าชื่อของทั้งสองพื้นที่การทำเหมืองแร่คล้ายคลึงกันมาก แม้จะอยู่ติดกันแต่ว่าไม่มีผลกระทบใดๆ
เขากุมมือเจียงสื้อสื้อแล้วพูดจากใจจริงว่า “ผมอยากจะหาเพชรดีๆให้คุณด้วยตนเอง”
เจียงสื้อสื้อพูดไม่ออก ที่จริงเธออยากจะบอกกับจิ้นเฟิงเฉินว่า หาไม่เจอก็ไม่เป็นไร
เพราะเธออกสั่นขวัญหาย ดังนั้นตอนบ่ายและกลางคืน จิ้นเฟิงเฉินจึงอยู่เป็นเพื่อนเจียงสื้อสื้อตลอดเวลาไม่ห่างไปไหน เดิมทีเขามีIกำหนดต้องเดินทางไปต่างจังหวัด หากไม่มีความจำเป็นจิ้นเฟิงเฉินก็จะติดต่อผ่านโทรศัพท์หรือวิดีโอคอล แต่ในวันต่อมาจิ้นเฟิงเฉินก็เดินทางไปเหมืองในที่สุด
เจียงสื้อสื้อเดินตามเขามาถึงหน้าประตูแล้วจับมือเขาไว้ไม่ปล่อย
“สื้อสื้อ ไม่กลัวนะครับ คุณไปนอนพักผ่อนเมื่อคุณตื่นมารับรองว่าจะเห็นผม” จิ้นเฟิงเฉินปลอบเธออย่างใจเย็น ไม่มีท่าทางเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
เจียงสื้อสื้อกัดปากตัวเองพูดว่า ” ที่จริงไม่มีเพชรก็ไม่เป็นไรนะคะ ฉัน …”
จิ้นเฟิงเฉินใช้คำพูดอันอ่อนโยนพูดขึ้นขัดจังหวะเธอว่า “เป็นสิครับ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ มีครั้งเดียวในชีวิต ผมต้องการให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคุณ”
ในที่สุด จิ้นเฟิงเฉินก็เดินทางจากไป
เจียงสื้อสื้อส่งข้อความหาเขาตลอดเวลา เธอเปิดทีวีเอาไว้ติดตามข่าวสารตลอดเวลา เจียงสื้อสื้อบอกกับตัวเองว่าต้องเชื่อใจเขา เธออยู่ในภาวะวิตกกังวลตลอดเวลา จนกระทั่งจิ้นเฟิงเฉินกลับมา
เมื่อเทียบกับตอนที่จากออกไป จิ้นเฟิงเฉินผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดสูทที่สะอาดสะอ้านก็ถูกฝุ่นเกาะคลุม แต่ไม่มีผลกระทบใดๆ
เจียงสื้อสื้อมองเขาแต่หัวจรดเท้า จากนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ในที่สุดก็กลับมาสักทีนะคะ เมื่อสักครู่ฉันได้ยินข่าวบอกว่าที่นั่นยังไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
” โชคดีที่ผมหาเจอแล้ว” จิ้นเฟิงเฉินยิ้มแล้วพูดออกมา
เจียงสื้อสื้อก็มีความสุขมากเช่นกัน เธอโอบกอดจิ้นเฟิงเฉินเป็นรางวัล จากนั้นเดินไปเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ ก่อนจะผลักจิ้นเฟิงเฉินเข้าไปในห้องน้ำ “ดูคุณสิคะ เลอะเทอะไปทั้งตัวเลย รีบไปอาบน้ำเถอะค่ะ”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกแปลกใจที่จิ้นเฟิงเฉินหาเพชรเจอ จิ้นเฟิงเฉินได้ยินแล้วตอบเธอว่า “ตอนนี้ยังไม่ผ่านกระบวนการตกแต่ง มันยังไม่สวยนะครับ”
“งั้นแสดงว่าจะต้องหาคนมาทำอีกใช่ไหมคะ?”
“ใช่ครับจะต้องหาช่างมีฝีมือมาจัดการ สื้อสื้อ คุณอยากออกแบบเองไหม?”
เจียงสื้อสื้อค่อนข้างจะให้ความสนใจแต่ว่าไม่กล้าตอบรับเขาไปโดยตรงจึงได้พูดขึ้นว่า “ฉันก็อยากลองดูนะคะแต่ว่า……ระยะเวลาคงต้องนานสักหน่อย ถ้าอย่างนั้นก็คงจะไม่ทันงานแต่งของเราแน่เลย”
“อาจจะไม่ทัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เลื่อนงานแต่งออกไปสิครับ” จิ้นเฟิงเฉินโอบกอดเจียงสื้อสื้อและลูบศีรษะของเธออย่างหยุดไม่ได้
เจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้นก็หันหลังไปมองเขาแล้วก้มหน้าพูดว่า “อย่างนั้นเหรอคะ แต่ แต่ถ้าเลื่อนงานแต่งงานออกไปอีก ฉันกลัวว่าท้องของฉันจะปิดไว้ไม่อยู่แล้ว”
เธออยากใส่ชุดแต่งงานสวยๆ แต่ถ้าท้องของเธอโตขึ้นก็คงไม่สวยแน่
จิ้นเฟิงเฉินมองเธอแล้วหัวเราะไม่พูดอะไร
เจียงสื้อสื้อรู้สึกกังวลใจขึ้นมา เธอพลิกตัวในอ้อมกอดของเขาแล้วจ้องหน้ามองเขาพูดว่า “ทำยังไงดีล่ะคะ คุณช่วยคิดวิธีสิ”
จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกว่าเธอช่างน่ารักจริงๆ จึงได้ดึงตัวเธอเข้ามาจูบ ศีรษะของเขาสัมผัสกับศีรษะของเธอหัวเราะแล้วตอบไปว่า “งั้นก็ช่วยไม่ได้สิครับ ประกาศให้ทุกคนรู้เลยว่าตระกูลจิ้นของเรากำลังจะมีเบบี้น้อยอีกคนแล้ว”
เจียงสื้อสื้อเหล่มองเขาแล้วตอบรับเบาๆ ไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่ออกจากอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉินแล้วไปนั่งคนเดียวที่มุมของโซฟา
เมื่อพบว่าเขาแกล้งเธอแรงเกินไป จิ้นเฟิงเฉินก็เริ่มเป็นกังวล แต่ท่าทางและสีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบดังเดิม เขากอดภรรยาสุดที่รักเอาไว้ในอ้อมอกอีกครั้งหนึ่งแล้วปลอบว่า “ล้อเล่นนะครับ ถ้าไม่ทันเราก็คลอดลูกก่อนค่อยจัดงานแต่งก็ได้”
เจียงสื้อสื้อชายตาไปมองเขาแล้วหันหลังกลับไปไม่พูดอะไร
ดูเหมือนว่าเธอจะยังโกรธเรื่องเมื่อสักครู่อยู่ จิ้นเฟิงเฉินหยุดยิ้มแล้วก้มตัวลงไปกระซิบกับเธอว่า “คุณภรรยา สื้อสื้อครับ พูดอะไรหน่อยสิ ดีไหม?”
เจียงสื้อสื้อเม้มริมฝีปากของตัวเอง ใครใช้ให้คุณล้อฉันเล่นล่ะ เล่นไปคนเดียวเลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เจียงสื้อสื้อลุกออกไปจากโซฟา เธอต้องการสร้างกำแพงและขีดเส้นแบ่งแดนกับจิ้นเฟิงเฉิน ทำให้จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกร้อนรนขึ้นมา เดิมทีเขาเป็นผู้ชายที่มีความมั่นใจ แต่เพิ่งจะพบกับสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
“โถ สื้อสื้อครับ คุณจะไม่สนใจผมก็ได้แต่อย่าโกรธอย่างนี้นะคะรับ ถ้าคุณโกรธจนส่งผลกระทบกับร่างกายผมจะเป็นห่วงขนาดไหนกัน” ผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามออดอ้อนให้เธอยกโทษ มองไปแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ
เจียงสื้อสื้อหยุดฝีเท้าลงแล้วค่อยๆหันมามองจิ้นเฟิงเฉินก่อนจะพูดเงื่อนไขออกมาว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง”
เธอเดินไปขึ้นเตียง คลุมผ้าห่มหลับตาลงทำท่าทางจะนอน
จิ้นเฟิงเฉินไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้เปิดผ้าห่มและซุกตัวเข้าไปพยายามดึงเจียงสื้อสื้อมาไว้ในอ้อมกอดแล้วพูดขึ้นว่า “คุณภรรยาครับ ผมนอนเป็นเพื่อนนะ”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าถูกเขาโอบล้อมไปทั้งตัว จะไปมีอารมณ์นอนได้อย่างไร! เจียงสื้อสื้อใช้นิ้วชี้ดีดไปที่หน้าอกของเขา
แข็งจริงๆ ทำด้วยอะไรกันเนี่ย อย่างกับก้อนหินเลย น่าโมโหที่สุด!
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มแล้วถอดเสื้อเผยให้เห็นหน้าอกอันแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา นี่มันช่างยั่วยวนเสียจริงๆ
แม้ว่าเจียงสื้อสื้อจะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็ตกหลุมพรางนี้ไปจริงๆเสียแล้ว
เดิมทีเธอก็หายโกรธแล้ว ยิ่งเห็นกล้ามเนื้ออันชวนหลงใหลอยู่ต่อหน้าแบบนี้ เธอก็โกรธไม่ลง เจียงสื้อสื้อจึงได้เงยหน้าอันสวยงามของเธอขึ้น แล้วบังคับถามว่า
“ก็ได้ค่ะ เห็นแก่คุณที่พยายามขนาดนี้ ฉันจะไม่ต่อว่าคุณแล้วก็ได้”
“ผมช่างโชคดีจริงๆ” จิ้นเฟิงเฉินจูบเธอทีหนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือไปจับมือของเจียงสื้อสื้อมาวางไว้ที่หน้าอกของตน
เจียงสื้อสื้ออยู่ในอ้อมกอดของเขาก่อนที่จะถามออกมาว่า “ถ้าเลื่อนเวลาออกไปแล้วจะทำยังไง บอกกับแม่ยังไงดีคะ?”
แม่จิ้นรอคอยงานแต่งงานมาเนิ่นนาน ถ้าพวกเขารู้ว่าจะเลื่อนวันแต่งงานออกไปอีก คาดว่าคงจะเป็นบ้าแน่ เจียงสื้อสื้อไม่อยากทำให้ ผู้อาวุโสทั้งหลายจะต้องโมโห อีกทั้งถ้าแม่จิ้นถามเธอ เธอก็ไม่รู้จะตอบยังไง
ถ้าตอบว่าเป็นเพราะเพชรเม็ดหนึ่ง อืม ฉากนั้นอาจจะสวยเกินไปจนไม่อาจจะจินตนาการ
จิ้นเฟิงเฉินก้มหน้าเอาคางแนบไปกับศีรษะของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผมจะบอกกับแม่เอง แม่จะต้องยอมรับแน่นอน”
“ได้ค่ะๆท่านประธานจิ้นสู้ๆนะคะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ขอแค่เธอไม่ต้องเป็นคนออกหน้าเองเธอก็มีความสุขแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินทำหน้างง เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “คุณกลัวแม่ขนาดนั้นเลยเหรอ แม่ไม่เคยดุคุณนี่?”
เจียงสื้อสื้อยิ้มเสร็จจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เธอตอบมาว่า “คุณไม่เข้าใจหรอก ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไงนะสิคะ”