ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 529 อยากได้เขามาครอง
บทที่ 529 อยากได้เขามาครอง
ทางด้านจิ้นเฟิงเฉินหลังจากวางสายไป ก็กลับมาทำท่าเย็นชาเหมือนเดิม
ข่ายสื้อลินอดอิจฉาเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างมากไม่ได้ ที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งรักเธอได้ขนาดนี้
ส่วนคนอย่างเธอ เกรงว่าชีวิตนี้คงไร้วาสนาที่จะมีความรักที่หวานชื่นกับเขาเสียแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินหันตัวกลับมา กล่าวอย่างสงสัยว่า “เธอบอกว่ารุ่นพี่เธอเป็นคนของพันธมิตรยอดเยี่ยมแห่งโลก?”
ได้ยินคำถามของจิ้นเฟิงเฉิน ข่ายสื้อลินก็ชะงักไป เธอไม่รู้ว่าทำไมจิ้นเฟิงเฉินถึงสนใจพันธมิตรยอดเยี่ยมแห่งโลกมากขนาดนี้
“หา? ใช่ เพราะข้อมูลงานวิจัยครั้งนี้ มีความสำคัญมากต่อประเทศE จึงมีคนอยากจะได้มันมา ดังนั้นจึงได้แต่ให้รุ่นพี่นำข้อมูลกลับสู่สมาคมแทน”
สิ้นคำ จิ้นเฟิงเฉินก็จมสู่ความคิด และมีความตกใจปนอยู่ในนั้นด้วย
พันธมิตรยอดเยี่ยมแห่งโลก เขาไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงมานานมากแล้ว
เพราะเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกเช่นกัน เพียงแต่สถานะนี้เป็นความลับสุดยอด คนนอกไม่มีโอกาสได้รู้
แม้แต่เจียงสื้อสื้อก็ไม่เคยรู้สถานะนี้ของเขา
มีเพียงเบื้องบนของสมาคมถึงจะมีสมุดรายชื่อตัวจริง
คนที่ได้เป็นคนใหญ่คนโตในสมาคมล้วนเคยผ่านการฝึกพิเศษมาแล้วทั้งนั้น หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เป็นไปได้มากที่ข่ายสื้อลินจะไม่ได้โกหก
หลังผ่านไปสักพัก จิ้นเฟิงเฉินก็กล่าวว่า “เรื่องนี้ฉันจะต้องยืนยันให้ได้เสียก่อน แต่ตอนนี้ฉันต้องการให้เธอเป็นตัวล่อคนกลุ่มนั้นออกไป ฉันไม่อยากให้สื้อสื้อได้รับอันตรายใดๆ”
ข่ายสื้อลินได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่พอคิดว่าตอนนี้ความปลอดภัยของตัวเองจะถูกคุกคามอีกแล้ว จึงบอกเงื่อนไขของตัวเองต่อจิ้นเฟิงเฉินออกมา
“ให้คอยดึงดูดความสนใจคนกลุ่มนั้นน่ะได้ แต่ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ก็คือคุณต้องส่งคนมาคอยคุ้มกันฉัน เพราะองค์กรนั้นมีความสามารถล้นเหลือเกินไป
ต่อให้คุณไม่บอกที่อยู่ของฉันแก่พวกเขา ไม่เกินสามวันพวกเขาก็จะหาเจอเอง ทุกคนที่เคยติดต่อกับฉัน ล้วนถูกกำจัดไปหมดแล้ว ดังนั้นฉันหวังว่าตอนที่คอยล่อพวกเขา คุณจะปกป้องความปลอดภัยของฉันได้”
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว เรื่องยุ่งยากเช่นนี้เดิมทีเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย แต่พอคิดว่าหากไม่ช่วยข่ายสื้อลิน อาจจะเกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของสื่อสื้อแทน
“ตกลง ฉันรับปากเธอ แต่ฉันให้เวลาเพียงสองวัน ล่อคนกลุ่มนั้นออกไป ภายในสี่สิบแปดชั่วโมง คนของฉันจะคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ หากเลยกำหนดแล้วเธอยังทำไม่ได้ ก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน”
สิ้นคำ จิ้นเฟิงเฉินก็จากไปทันที
ข่ายสื้อลินมองเงาหลังจิ้นเฟิงเฉินเดินจากไป กำฝ่ามือแน่นอย่างห้ามไม่อยู่
ผู้ชายคนนี้นอกจากความปลอดภัยของเจียงสื้อสื้อแล้ว เรื่องของคนอื่นก็ไม่สนใจอีก
หากไม่ใช่เพราะตัวเองก่อเรื่องให้เจียงสื้อสื้อ เกรงว่าเขาก็คงไม่ชายตาแลเธอหรอก
อันที่จริงตอนที่ข่ายสื้อลินมาถึงเมืองเป่ย ยังมีความหวังเล็กๆ อยู่บ้าง
ผู้ชายที่ดีเลิศอย่างจิ้นเฟิงเฉิน หากบอกว่าไม่หวั่นไหวสิแปลก
ผนวกกับความสามารถของเขา ข่ายสื้อลินจึงอยากได้เขามาครองเหลือเกิน
แต่สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือ จิ้นเฟิงเฉินถึงกับรักชอบเจียงสื้อสื้อ
แม้จะอิจฉา แต่ก็ล้มเลิกความคิดที่อยู่ในใจเช่นกัน ที่เหลืออยู่ตอนนี้มีเพียงความปรารถนาดีเท่านั้น
มองดูห้องอันว่างเปล่า ข่ายสื้อลินก็อดที่จะรู้สึกเดียวดายขึ้นมาไม่ได้
ตั้งแต่เล็กจนโต เธอถูกแสงของพรสวรรค์ล้อมรอบ ถูกคนโอบอุ้มอยู่กลางฝ่ามือมาจนโต
เธอจึงกลายเป็นคนมีนิสัยโอหังเช่นนี้ และเรียนรู้ความคิดที่จะจับผู้ชายยังไง
แม้ภายนอกเธอจะมองดูเป็นคนหัวอ่อนแต่ความหยิ่งยโสโอหังภายในยังคงอยู่
แต่ความทะนงตนเช่นนี้เมื่อได้เจอจิ้นเฟิงเฉิน ก็ถูกทำลายลงในพริบตา
พอออกมาจากที่พักของข่ายสื้อลิน จิ้นเฟิงเฉินก็รีบสั่งกู้เนี่ยนจองตั๋วเที่ยวบินกลับไปโดยเร็วที่สุด
ภรรยาตัวน้อยที่น่าปรารถนายังรอคอยอยู่ที่บ้าน จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากเสียเวลาสักวินาทีเดียวไปกับเรื่องที่ไร้ประโยชน์
ตอนที่กลับมาถึงบ้าน ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินผลักประตูเข้ามา ก็เป็นเวลาที่ครอบครัวกำลังจะทานมื้อเย็นพอดี ตอนที่เจียงสื้อสื้อเห็นจิ้นเฟิงเฉิน ก็มีความประหลาดใจอยู่บ้าง
เธอโผเข้ามาหาทันที กระเง้ากระงอดว่า “ทำไมคุณถึงกลับมาเย็นขนาดนี้ ฉันถามกู้เนี่ยนแล้ว เขาบอกคุณไปทำธุระที่ต่างเมือง ฉันตกใจแทบแย่”
หลังผ่านเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ เจียงสื้อสื้อก็รับความสะเทือนใจไม่ไหวอีก
พอรู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงตัวเอง จิ้นเฟิงเฉินก็ยิ้มพลางลูบเส้นผมของเธอ ปลอบโยนว่า “วางใจเถอะ สามีคุณไม่เกิดเรื่องง่ายๆ หรอก”
เห็นคนทั้งสองตัวติดกันเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราก็อดส่งเสียงขัดจังหวะไม่ได้
“พี่ พี่กลับมาก็อย่าทำหวานเลี่ยนแบบนี้ได้ไหม จะไม่ให้พวกเรากินข้าวเลยเหรอ”
แม่จิ้นเห็นเช่นนี้ก็เคาะไปที่มือจิ้นเฟิงเหรา ใช้สายตาขู่เขาว่าอย่าพูดเหลวไหล
เสี่ยวเป่าที่อยู่อีกด้านเองก็เริ่มพูดกระทบจิ้นเฟิงเหราว่า “คุณอาเล็ก หากอิจฉา ก็พูดออกมาตรงๆ สิ ผมกลับคิดว่าหม่ามี๊กับแด๊ดดี้เป็นอย่างนี้ดีจะตาย เพราะอย่างไรผมก็ชอบ”
“เสี่ยวเป่า ขนาดนายยังกล้าเยาะเย้ยฉัน ดูสิอาจะจัดการนายยังไง”
จบคำ จิ้นเฟิงเหราจะไปจับตัวเสี่ยวเป่า แต่แม่จิ้นปรามเขาไว้
หลังมองเขาอย่างดุๆ แวบหนึ่งก็กล่าวว่า “ตัวโตขนาดนี้ ยังจะทะเลาะกับเสี่ยวเป่าอีก หากลูกกับหวั่นชีงตกลงปลงใจกันแล้ว ก็นัดพวกเรามาพบหน้ากันสักครั้ง หรือกับแม่ของเธอก็ได้ ยืดเวลาออกไปแบบนี้ก็ไม่ช่วยอะไร ทำแบบนี้ลูกจะได้ไม่ต้องกินข้าวหมาทุกวัน”
พอได้ยินว่าจะนัดวันพบหน้ากัน จิ้นเฟิงเหราก็ห่อเหี่ยวขึ้นมา ดวงตาหม่นแสงลง
แม้ว่าตอนนี้ความรักของเขากับส้งหวั่นชีงจะมั่นคงอย่างมาก แต่หากพาเธอมาที่บ้าน เขายังใจฝ่ออยู่บ้าง
เพราะอย่างไรภายในเขาก็กลัวการแต่งงาน
สังเกตเห็นสายตาของแม่จิ้น จิ้นเฟิงเหราก็รีบนั่งข้างกายเธอพลางกล่าวปลอบว่า “โธ่เอ๊ย แม่ ตอนนี้ผมยังไม่ต้องรีบก็ได้ไม่ใช่เหรอ?
อีกอย่างแม่กับหวั่นชีงก็เคยเจอกันแล้ว เธอเป็นยังไงแม่ยังไม่รู้อีกเหรอ มิหนำซ้ำตอนนี้บ้านเราอีกไม่นานก็จะมีเจ้าตัวน้อยเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว ยังจะมีเวลาที่ไหนมาสนใจเรื่องผมอีก ดังนั้นตอนนี้ผมยังไม่รีบ อีกสักระยะค่อยว่ากันเถอะครับ”
แม่จิ้นได้ยินก็รู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง ตำหนิจิ้นเฟิงเหราว่า “เจ้าเด็กคนนี้ พบหน้าเมื่อก่อนกับตอนนี้จะเหมือนกันได้ยังไง สถานะต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกอย่าง……”
แม่จิ้นยังไม่ทันพูดจบ จิ้นเฟิงเหราก็ส่งเสียงขัดจังหวะ
“เอาน่าแม่ เวลากินข้าวแม่ก็ต้องบ่นผมสองประโยค ตอนนี้ยุ่งเรื่องของพี่สำคัญกว่า”
แม่จิ้นถูกเขาพูดจนจนคำพูดอยู่บ้าง จึงตีเขาไปทีหนึ่ง และไม่พูดอะไรอีก
หลังกินข้าวเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็พาเจียงสื้อสื้อไปที่ห้องสักพัก
เห็นท้องของเธอเริ่มนูนขึ้นมา จู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกภาระบนบ่าเริ่มหนักขึ้นบ้างแล้ว
นับแต่นี้ไป คนที่เขาต้องปกป้องไม่ได้มีเพียงแค่สื้อสื้อคนเดียวแล้ว
ว่ากันว่าผู้หญิงขณะตั้งครรภ์ เป็นเวลาที่นิสัยความเป็นแม่ฉายชัดที่สุด
สภาพเจียงสื้อสื้อในตอนนี้ สอดคล้องกับคำกล่าวนี้ที่สุด
เพราะการตั้งครรภ์ ทำให้เจียงสื้อสื้อดูอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
เพียงไม่นาน จิ้นเฟิงเฉินก็ประคองเจียงสื้อสื้อขึ้นเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอาหูแนบกับท้องของเจียงสื้อสื้อ
เธอถูกภาพนี้ของเขาทำให้ขบขัน เจียงสื้อสื้อส่งเสียงว่า “ตอนนี้ลูกยังไม่ดิ้นเลยค่ะ คุณทำอย่างนี้จะไปได้ยินอะไรกัน”