ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 55 ปัญหาของขนาด
บทที่ 55 ปัญหาของขนาด
เจียงสื้อสื้อร้อนตัวเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าตอนที่จิ้นเฟิงเฉินกอดเธอหน้าบริษัทมีใครมาเห็นรึเปล่า
ซูซานพยักหน้า แต่ก็คาดไม่ค่อยถึง
“ก็ได้ ถ้าไม่สบายตรงไหนบอกด้วยนะ อย่ามาทำงานแบบไม่สบายนะ”
“ค่ะ ของคุณผู้จัดการซูมากๆ ค่ะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มพร้อมตอบ
พอซูซานเดินออกไป เธอเปิดเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ เจียงสื้อสื้อพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองนิ่งแล้วทำงาน ไม่ไปคิดเรื่องนั้นอีก
………………..
เวลาผ่านไปเร็วมาก ระหว่างทางที่เจียงสื้อสื้อกลับบ้านเธอซื้อผักกลับไปด้วย พอถึงบ้านไม่นาน เรื่องกริ่งก็ดังขึ้น
คนที่มาแน่นอนต้องเป็นเสี่ยวเป่าที่จะมาทานข้าวเย็นด้วย
“น้าสื้อสื้อ เสี่ยวเป่ามาแล้วครับ”
“รีบเข้ามาเถอะ” เจียงสื้อสื้อยิ้มพร้อมตอบ แต่เธออึ้งไปสักพัก เหมือนนึกอะไรได้ขึ้นมา เธอถามต่ออีกว่า “เสี่ยวเป่าใครส่งหนูมาคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินรอเขาที่ใต้ตึกเหมือนวันนั้นอีกรึเปล่า
เสี่ยวเป่าทำหน้าอึ้งพร้อมตอบว่า “คุณลุงขับรถไงครับ”
เจียงสื้อสื้อมองออกทันทีว่าเจ้าเด็กนี่กำลังโกหกเธอ เธอก็ได้แค่ยิ้มๆ ทำอะไรกับสองพ่อลูกนี้ไม่ได้จริงๆ เลย
“ทำไมหรอครับ? น้าสื้อสื้อถามเรื่องนี้ทำไมหรอครับ?”
“ดึกขนาดนี้แล้ว คุณลุงขับรถน่าจะยังไม่ได้ทานข้าวเหมือนกัน เราเรียกเขามาทานด้วยกันไหมครับ?”
“ฮ้ะ?” เสี่ยวเป่ากะพริบตาอย่างแรง เขาลำบากใจนิดนึง
ทำยังไงดี?
คนที่อยู่ข้างล่างไม่ใช่คุณลุงขับรถสักหน่อย นั้นเป็นแดดดี๊ของเขาต่างหาก
น้าสื้อสื้อจะให้แดดดี้มากินข้าวด้วยไหม? ช่างมันเถอะๆ ไม่ว่างยังไงขอแค่ตัวเองมีข้าวกินก็พอแล้ว
เสี่ยวเป่าทำอะไรไม่ได้ก็เลยตอบไปว่า “ครับ”
เจียงสื้อสื้อพาเขาลงจากตึกมา พอมาถึงข้างล่างเธอก็เคาะไปที่กระจกรถมายบัค
สักพักจิ้นเฟิงเฉินก็เปิดประตูรถออกมา ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาดูเฉยชามาก เขาไม่ได้รู้สึกเขินอายเลยสักนิด
“แดดดี้ น้าสื้อสื้อบอกว่าให้มาเรียกคุณลุงขับรถขึ้นไปทานข้าวที่บ้านด้วยกันครับ”
เรื่องนี่ไม่ได้เกี่ยวกับเขานะ เขาไม่ได้หักหลังแดดดี๊นะ
เจียงสื้อสื้อยิ้มเล็กน้อย เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย เธอรู้ว่าคนที่ส่งเสี่ยวเป่ามาต้องเป็นจิ้นเฟิงเฉินแน่ๆ
“ไปกันเถอะ อย่านั่งในรถเลย”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ในที่สุดก็มีข้าวกินสักที
เขาสามคนเดินขึ้นตึกไป เจียงสื้อสื้อพูดออกมาว่า “คุณนั่งที่ห้องรับแขกก่อน เดี๋ยวฉันไปทำกับข้าวสักครู่นึง”
จิ้นเฟิงเฉินพูดต่อว่า “เดี๋ยวผมช่วยนะครับ”
เสี่ยวเป่าก็พูดตามอีกว่า “ผมก็จะช่วยน้าสื้อสื้อครับ”
เจียงสื้อสื้อห้ามไม่ได้ เขาสามคนก็เดินเข้าห้องครัวไป
จิ้นเฟิงเฉินพับแขนเสื้อขึ้นเตรียมล้างผัก
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงสื้อสื้อเห็นเขาเข้าครัว เธออดไม่ได้ที่จะมองเขาดีๆ คิดในใจว่า ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หล่อจัง ภาพตอนนี้นี่มันดีต่อใจจริงๆ
เสี่ยวเป่าช่วยอยู่ข้างๆ ด้วยเหมือนกัน
ภาพนี้ถ้าพ่อแม่ตระกูลจิ้นหรือว่า จิ้นเฟิงเหรามาเห็นเข้าต้องตกใจแน่ๆ สองพ่อลูกนี้เคยเข้าครัวทำกับข้าวที่ไหน
เขาสามคนช่วยกันสักพักก็ทำเสร็จแล้ว พวกเขานั่งรอบๆ โต๊ะ
ในห้องเช่าที่แคบๆ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
เจียงสื้อสื้ออยู่คนเดียวจนชินแล้ว ก็ไม่แปลกที่เธอจะรู้สึกแบบนี้
ครอบครัว คำสองคำนี้โผล่ขึ้นมาในหัวเธอ
ความสัมพันธ์ของเธอกับเสี่ยวเป่า และจิ้นเฟิงเฉินเหมือนจะสนิทกันมาก แต่ก็เหมือนว่าเขาห่างกันเหลือเกิน….
เสี่ยวเป่ากินข้าวอยู่แล้วก็พูดเรื่องกิจกรรมที่โรงเรียนขึ้นอย่างสนุกสนาน
“คุณครูบอกว่าวันร่วมกิจกรรมเด็กๆ ต้องขึ้นไปแสดงกับพ่อแม่ วันนั้นต้องแต่งหน้าด้วยนะครับ”
เจียงสื้อสื้อเอ่ยปากถามว่า “แสดงอะไรคะ?”
“เสี่ยวเป่าจับฉลากได้เรื่องหนูน้อยหมวกแดงนะครับ”
สำหรับเสี่ยวเป่าแล้วเขาพอใจกับนิทานเรื่องนี้มากๆ
พอเจียงสื้อสื้อได้ยิน ก็ขำออกมา
หนูน้อยหมวกแดงเสี่ยวเป่าเป็นคนแสดง
งั้นเขาสองคนต้องมีคนนึงที่แสดงเป็นคุณยาย อีกคนเป็นหมาป่าน่ะสิ
เจียงสื้อสื้อมองไปที่ จิ้นเฟิงเฉิน พอนึกถึงภาพที่เขาแต่งตัวเป็นหมาป่าก็ยิ่งอยากหัวเราะ
หมาป่า…….สีหน้าจิ้นเฟิงเฉินเริ่มไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เสี่ยวเป่าไม่ค่อยเข้าใจ ถามไปพร้อมความสงสัยว่า “ไม่ได้หรอครับ?”
หนูน้อยหมวกแดงก็ไม่แย่นะ
เจียงสื้อสื้อพยายามไม่ขำแล้วรีบตอบกลับไปว่า “น้าได้อยู่แล้วค่ะ แต่ว่าไม่รู้ว่าแดดดี้หนูจะ……..”
ทั้งคู่มองไปที่จิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินทำอะไรไม่ถูก ก็เลยตอบกลับไปว่า “ได้สิครับ”
เสี่ยวเป่ายิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที
“แดดดี๊กับน้าสื้อสื้อใจดีที่สุดเลยครับ”
หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเขาก็คุยเล่นกันสักพัก สองพ่อลูกนั้นก็กลับไป
เจียงสื้อสื้อไปส่งเขาสองคนที่ใต้ตึก เสี่ยวเป่ามองหน้าเธอด้วยความยังไม่อยากจากกัน
“น้าสื้อสื้อรีบนอนนะครับ ผมกับแดดดี๊ไปก่อนนะครับ”
เฮ้อ……เมื่อไหร่ถึงจะได้เจอน้าสื้อสื้อทั้งก่อนนอนแล้วตอนตื่นนะ
“ค่ะ…..” เจียงสื้อสื้อยิ้มแล้วตอบกลับ
“ฝัน…..ฝันดีค่ะ ขับรถระวังด้วยนะคะ”
ภายใต้แสงไฟที่สอดส่อง ใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉินดูหล่อและดูดีมาก เจียงสื้อสื้อมองแล้วเหม่อไปสักพัก เธอแก้มแดงเล็กน้อย อยู่ดีๆ ภาพเมื่อเช้าก็โผล่มาในหัวอีกที
เจียงสื้อสื้อดึงสติกลับมา ก็พูดไปด้วยความเลิ่กลั่กว่า “งั้นฉันไปก่อนนะ เสี่ยวเป่ากลับไปก็รีบนอนนะคะ”
“ครับ ลาก่อนครับน้าสื้อสื้อ”
“ลาก่อนค่ะ”
……………..
กลับไปถึงบ้าน หลังจากที่เจียงสื้อสื้ออาบน้ำเสร็จ เขาก็ดูเว็บต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็นึกถึงที่เสี่ยวเป่าเคยพูด ถ้าต้องแสดงละคร ถ้างั้นก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้เสร็จ
แล้วเจียงสื้อสื้อก็ค้นหาชุดหนูน้อยหมวกแดง
เธอดูไปดูมาเรื่อยๆ ขณะที่เธอกำลังจะกดซื้อเธออึ้งไปสักพัก เธอไม่รู้ขนาดของ จิ้นเฟิงเฉินนี่นา
เจียงสื้อสื้อหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความไปหาจิ้นเฟิงเฉิน
“sizeของนายคือเท่าไหร่?”
ขณะนั้นจิ้นเฟิงเฉินกำลังคุยเรื่องบริษัทกับจิ้นเฟิงเหรา โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น จิ้นเฟิงเหราที่นั่งข้างๆ เห็นข้อความก่อน
จิ้นเฟิงเหราอึ้งในทันที รีบพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “โอ้โห พี่ครับ นี่พี่กับพี่สะใภ้พัฒนาเร็วเกินไปรึเปล่า ถึงขั้นที่ถามไซต์กันแล้วหรอเนี่ย!”
นี่มันผลงานของเขาเมื่อวานหนิ สองคนนี้ไม่ใช่แค่ดีกันแต่พัฒนาไปอีกขั้นแล้ว จิ้นเฟิงเหราอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาจ้องไปที่พี่อย่างมีพิรุธ
จิ้นเฟิงเฉินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแบบงงๆ พอเห็นข้อความเขาก็มองไปที่จิ้นเฟิงเหราแล้วตอบด้วยเสียงนิ่งๆ ว่า “เธอหมายถึงไซต์ของเสื้อ”
“………”
ขนาดของเสื้อหรอเนี่ย!
จิ้นเฟิงเหรารู้สึกอายนิดหน่อย พูดพร้อมยิ้มว่า “ใช่ ผมหมายถึงขนาดของเสื้อนี่แหละ เนี่ยพี่คิดดูหน้า ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้ยังไม่ค่อยสนใจพี่อยู่เลย แต่วันนี้มาถามไซต์เสื้อของพี่แล้ว ที่ผมให้พี่อยู่ต่อเมื่อคืนดีใช่ไหมครับ ต้องขอบคุณน้องชายสุดฉลาดคนนี้ยังไงดีนะ?”
หรือว่าให้เขาหยุดงานสัก3เดือนดีไหม