ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 652 ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถอะ
บทที่ 652 ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถอะ
มือของผู้ชายนวดลงไปที่กล้ามเนื้อของเธอ สีหน้าของเจียงสื้อสื้อแดงเล็กน้อย
สัมผัสไปมาที่สองขาที่ยาวเรียวของเธอ การตอบสนองรุนแรงมาก
คิ้วของจิ้นเฟิงเฉินเลิกขึ้นเล็กน้อยพลาง จ้องมองไปที่เธอ
ไม่นาน น้ำเสียงทุ้มต่ำหนักแน่นก็ทะลุผ่านหูของเจียงสื้อสื้อ
“อย่าขยับ ซ่อนให้ดี หากขยับแล้วคนทั้งงานเห็นเข้า ผมไม่รับผิดชอบนะ”
สายตาคนในงานต่างจับจ้องเป็นจำนวนมาก มีคนสังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวตรงนี้แล้ว และหันมามองทางนี้ด้วยความสนใจ
เมื่อเห็นจิ้นเฟิงเฉินกอดผู้หญิงคนหนึ่ง สีหน้าก็แสดงความตกใจออกมา
แต่ลักษณะท่าทางในตอนนี้ ใบหน้าของเจียงสื้อสื้อถูกบังไว้
หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคย ก็คงจะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของจิ้นเฟิงเฉินคือเธอ
เจียงสื้อสื้อแทบจะหยุดหายใจ
หากไม่อยากให้ใครเห็น ก็แค่ปล่อยเธอลงมาก็แค่นั้น?
แม้ว่าในใจจะรู้สึกโกรธ แต่ร่างกายของเธอก็หยุดการต่อต้านแล้ว
เธอรีบซ่อนใบหน้าของเธออย่างลนลาน แนบไว้ที่หน้าอกของเขา
ลมหายใจของชายหนุ่มแผ่ซ่านเข้ามา เจียงสื้อสื้อเริ่มได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ชัดเจนขึ้น
จู่ๆก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของเขา หรือเสียงตัวเธอเองกันแน่
เธอถูกความเผด็จการของชายผู้นั้นทำให้รู้สึกโกรธ เจียงสื้อสื้อกัดฟันแน่นพลางพูดขึ้นว่า “คุณไม่มีเหตุผล!”
“อืม ผมไม่มีเหตุผล”
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินได้ยินน้ำเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและดุดันของเธอ ริมฝีปากก็เผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมา
เมื่อน้ำเสียงอ่อนโยนจบลง ในใจก็รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย หากฟังอย่างตั้งใจก็จะรู้สึกถึงน้ำเสียงความรักและเอ็นดูที่แฝงอยู่
เจียงสื้อสื้อไม่รู้จะพูดอะไรออกมา รับรู้ได้ว่าจิ้นเฟิงเฉินเดินออกไปจากงานเลี้ยงอย่างรีบร้อน
แต่ละก้าวๆ เวลาราวกับนั้นได้หยุดลง
งานเลี้ยงที่ครึกครื้น จู่ๆก็เงียบลง
เจียงสื้อสื้อไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง จับชายเสื้อของจิ้นเฟิงเฉินไว้แน่น
พยายามกลั้นหายใจอยู่ในอ้อมอกของเขา ไม่กล้าจะจินตนาการว่าคนภายนอกจะมีการตอบสนองอย่างไร
ไม่นาน เจียงสื้อสื้อก็ได้ยินเสียงประตูรถถูกเปิดออก
เธอถูกจิ้นเฟิงเฉินค่อยๆวางเธอลงที่เบาะหลังรถ
ภายในรถ แสงไฟมืดมิดเผย ใบหน้าสีขาวนวลของเจียงสื้อสื้อออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นมามองไปยังดวงตาดำของจิ้นเฟิงเฉิน
ริมฝีปากขยับเล็กน้อย กำลังที่จะตำหนิการกระทำเมื่อสักครู่ของเขา จิ้นเฟิงเฉินกลับก้มหน้าลง พลางใช้กระโปรงปิดที่ขาของเธอ
“คุณจะทำอะไร?”
เจียงสื้อสื้อขนลุกซู่ทั้งตัว ร้องขึ้นด้วยความตกใจ และถอยกลับไปอย่างอัตโนมัติ
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองท่าทีขวัญหนีดีฝ่อของเธอลูบหน้าผากของเธอ พลางถอนหายใจ
“รอยแผลของคุณลึกไม่น้อย คุณรออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวผมจะไปเอายา”
เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกไป เมื่อเขาเดินออกไป เจียงสื้อสื้อก็คลายลมหายใจลง
เธอค่อยๆหันศีรษะไปมองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่าง รอยช้ำแดงบนใบหน้ายังคงไม่จางหาย
ไม่นาน จิ้นเฟิงเฉินนำกล่องยากลับมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปยืมมาจากที่ไหน
ช่องว่างในรถมากไม่น้อย แต่ในเวลานี้ เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของตนเอง เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้คับแคบเกินไป หายใจไม่ค่อยสะดวก
จิ้นเฟิงเฉินเปิดกล่องยาอย่างคล่องแคล่ว หยิบยาฆ่าเชื้อและสำลีไม้ออกมา
แรงที่ฝ่ามือของชายหนุ่มละเลงลงบนขาของเธออีกครั้ง กระโปรงถูกเปิดออกมาถึงบริเวณขาอ่อน
ผิวขาวถูกเผยออกมา บริเวณที่ถูกกระจกบาดก็เผยออกมาเช่นเดียวกัน
คิ้วของจิ้นเฟิงเฉินขมวดขึ้น แววตาเผยความรู้สึกปวดใจออกมา
เขานวดบริเวณใกล้ๆกับบาดแผล ฝ่ามือให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายผิวที่ละเอียดอ่อน
ท่าทีละเอียดอ่อน เบาๆทำให้เธอรู้สึกจั๊กจี้ไปถึงคั่วหัวใจ ในขณะนั้นเจียงสื้อสื้อก็สูดหายใจเฮือกหนึ่ง
คิดว่าบาดแผลนั้นทำให้เธอเจ็บปวด แววตาของจิ้นเฟิงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นถามเธอว่า“คุณเจ็บเหรอ?”
สีหน้าสงสัย
เจียงสื้อสื้อหน้าแดงพลางส่ายหัว“เปล่าคะ”
ในใจรู้สึกโล่งอกที่แสงไฟเป็นสีเหลืองนวล ทำให้สีหน้าของเธอไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนนัก
จิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาแล้วกับ ผมจะพยายามทำให้เบาที่สุด”
เขาคุกเข่าข้างหนึ่ง จับใกล้ๆบริเวณแผลที่ขาของเธอ
ปฏิบัติอย่างระมัดระวัง ราวกับของที่มีราคาแพง
จากนั้น เขาก็นำไม้พันสำลีค่อยๆเช็ดที่แผลของเธอเบาๆ
เขามือเบามาก ราวกับขนที่บินผ่านไป
สายตาของจิ้นเฟิงเฉินจับจ้องอยู่ที่บาดแผลของเธอ ขมวดคิ้ว ราวกับคนที่เจ็บคือเขาเอง
เจียงสื้อสื้อมองชายที่ปฏิบัติต่อเธออย่างเอาอกเอาใจ ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง
แสงแดดส่องผ่านใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉิน อวัยวะทั้งห้าของเขาอาบด้วยแสงสีเหลืองอ่อน เขาเช็ดแผลอย่างตั้งใจ
จู่ๆ สายตาของเจียงสื้อสื้อก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายไปที่อื่นได้ สายตาเริ่มมองไม่ชัดก้นบึ้งของหัวใจเริ่มจั๊กจี้เล็กน้อย
ที่จอดรถเงียบสงบ มองไม่เห็นใครเลยสักคน
แม้ว่าประตูรถจะเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ความอบอุ่นกลับอบอวลไม่จางไปไหน
ขณะที่จิ้นเฟิงเฉินเปลี่ยนมันสำลีอันใหม่ก็เห็นเจียงสื้อสื้อจ้องมองตนเองอยู่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มอ่อน
เมื่อเจียงสื้อสื้อรู้สึกตัวว่าตนกำลังจ้องมองจิ้นเฟิงเฉินอยู่อย่างไม่กะพริบตา ในใจก็เริ่มรู้สึกอึดอัด
“ให้ฉันทำเองเถอะ”
เธอหน้าแดง รีบแย่งของจากมือของจิ้นเฟิงเฉิน แต่เขากลับหลบอย่างง่ายดาย
สายตาเคลื่อนเล็กน้อย ลูกกระเดือกของจิ้นเฟิงเฉินเคลื่อนไหว พูดขึ้นด้วยเสียงแหบว่า“ถ้าขยับอีก เดี๋ยวกระโปรงก็เปิดหมดหรอก”
เธอใช้ฝ่ามือกดชายกระโปรงลง
บรรยากาศในขณะนั้นอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
เจียงสื้อสื้อก้มหน้าตะโกนร้องด้วยความตกใจ จากนั้นก็ไม่กล้าขยับอีก
เธอนั่งลงอย่างเชื่อฟัง ปล่อยให้จิ้นเฟิงเฉินทายาให้จนเสร็จ
ใบหูแดงอย่างน่าสงสัย
ครู่หนึ่ง จิ้นเฟิงเฉินจึงปิดกล่องยา แล้วพูดกับเธอว่า“เสร็จแล้วครับ”
“งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”
เจียงสื้อสื้อรู้สึกผ่อนคลายจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วอยากที่จะออกจากสถานที่แห่งความอบอุ่นนี้ให้เร็วที่สุด
ลืมไปว่าที่นี่คือในรถ เมื่อลุกขึ้นศีรษะจึงไปชนเข้ากับหลังคารถ
แต่เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างที่คิด เพราะมือของจิ้นเฟิงเฉินรองรับศีรษะของเธอไว้
“คุณ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เจียงสื้อสื้อรีบตรวจสอบมือของจิ้นเฟิงเฉิน
เขาซ่อนมือเอาไว้ด้านหลังไม่ยอมให้เธอดู จิ้นเฟิงเฉินส่ายศีรษะพลางพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า“ไม่เป็นไรครับ”
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ“คุณกลัวผมมากเลยเหรอ?”
“เปล่าค่ะ”
เมื่อเจียงสื้อสื้อถูกถามเช่นนี้ก็ก้มหน้าลงพลางส่ายหัว
เมื่อเห็นจิ้นเฟิงเฉินได้รับบาดเจ็บในใจก็รู้สึกไม่สู้ดีนัก
“งั้นคุณจะหลบหน้าผมทำไม?”
เจียงสื้อสื้อฟังน้ำเสียงที่หดหู่และจนปัญญา ความรู้สึกละอายใจก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ช่างเถอะ ผมจะส่งคุณกลับไป”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่นครู่หนึ่ง พูดจบก็จะลงไป
จู่ๆ เจียงสื้อสื้อก็เงยหน้าขึ้นมา ตะโกนขึ้นว่า “ไม่ต้องกลับไปหรอก คุณนั่งรถเล่นเป็นเพื่อนฉันได้ไหม?”
นัยน์ตาดำของจิ้นเฟิงเฉินกลอกไปมาพลางจ้องมองแววตาของเธอ
เขากำลังครุ่นคิดว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เมื่อถูกสายตาของเขาจ้องมอง เจียงสื้อสื้อลูบที่ลำคอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง พลางอธิบายขึ้นประโยคหนึ่งว่า“ช่วงนี้รู้สึกอุดอู้อยากจะออกไปเดินเล่น”
ริมฝีปากของจิ้นเฟิงเฉินเผยขึ้นเล็กน้อย จ้องมองเธออย่างอ่อนโยน
“ได้สิ”
เธออยากไปที่ไหน เขาสามารถไปเป็นเพื่อนเธอได้ทุกที่
ในยามค่ำคืนรถสีดำเสมือนเป็นรอยล้อรถที่ลากยาวไปตามถนนอย่างชัดเจน
รถขับมาถึงบริเวณฝั่งแม่น้ำแซน