ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 690 มาเจอกันหน่อย
บทที่ 690 มาเจอกันหน่อย
ดีที่ไม่นานเจียงสื้อสื้อก็ได้หยุดร้อง แล้วไปปลอบเถียนเถียน
ตระกูลฝู้ถึงได้กลับไปเป็นปกติอีกครั้ง
วันต่อมา
จิ้นเฟิงเฉินขับรถ ส่งพ่อจิ้นแม่จิ้นกับเสี่ยวเป่าไปที่สนามบิน
เขาสั่งเสียเสี่ยวเป่าเยอะมาก ให้เขาเชื่อฟังที่คุณปู่คุณย่าพูด เป็นเด็กดี เดี๋ยวสักพักตนก็ไปหาเขา
เสี่ยวเป่าก้มหน้าเล่นนิ้วตัวเอง เหมือนว่าไม่ได้ฟังเลย
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว อยากจะพูดอะไรแรงๆ ออกไป แต่ก็ได้มองสีหน้าของแม่จิ้นผ่านกระจกส่องหลัง ก็ได้กลืนลงไป
ได้แต่หวังว่าลูกน้อยจะหายดีเป็นปกติ
เพราะว่าบริษัทในประเทศยังมีเรื่องต้องจัดการ เพราะงั้นจิ้นเฟิงเหรากับส้งหวั่นชีงก็ได้จองตั๋วกลับก่อนหนึ่งคืน
มาถึงสนามบิน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้จัดการเรื่องเอกสารให้พวกเขา
เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีมากๆ ให้คุณย่าจูงมือไปไหนก็ได้ แต่ก็แค่แข็งราวกับไม้
มองภาพที่เขาร่าเริงจนชิน ท่าทางแบบนี้ทำให้คนปวดใจจริงๆ
มองสามคนเข้าเครื่องตรวจ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ยืนอยู่กับที่อยู่นาน
รอให้พวกแม่จิ้นขึ้นเครื่องบินไปแล้วนั้น จิ้นเฟิงเฉินถึงได้ขับรถกลับไป
ระหว่างทาง พวกเขาทุกคนก็ได้ตึงเครียดอยู่ตลอด
เวลานี้คฤหาสน์ตระกูลจิ้นมองแล้วเงียบเหงามากๆ อารมณ์ของจิ้นเฟิงเฉินก็ได้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
คิดได้ว่าที่บริษัทมีเรื่องต้องจัดการ ก็ได้ขับรถไปบริษัท
ในฝรั่งเศสนั้นจิ้นกรุ๊ปก็ได้มีธุรกิจอยู่ไม่น้อย เดิมจิ้นเฟิงเฉินสามารถที่จะอยู่ที่นี่อีกกี่เดือนแล้วค่อยกลับไปก็ได้
แต่ว่าอาการของเสี่ยวเป่าไม่ดี จิ้นเฟิงเฉินจำเป็นต้องจัดการให้เร็วที่สุด กลับไปอยู่กับเขา
อีกอย่าง งานแต่งของเจียงสื้อสื้อกับฝู้จิงเหวินใกล้ถึงแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินไม่อยากที่จะเห็น ผู้หญิงที่ตนรัก กลายเป็นภรรยาของคนอื่น นี่มันโหดร้ายกับเขาเกินไป
ความรู้สึกแบบเอาใจของตัวเองออกมาแล้วให้คนอื่นทิ้งไปกับพื้นเขาเจอกับมันอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้
เพราะงั้นเขาคิดว่าจัดการสั่งงานในมือเสร็จก็กลับประเทศ
ก็ได้ดึงสติ สายตาของจิ้นเฟิงเฉินก็ได้กลับมามองที่กองเอกสารอีกครั้ง
“ท่านประธาน” เสียงเคาะประตูของกู้เนี่ยนก็ได้ดังขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้า ก็ได้สั่งอย่างเย็นชา “เข้ามา”
เห็นกู้เนี่ยนได้อุ้มกองเอกสารเข้ามา จัดแยกประเภทให้จิ้นเฟิงเฉิน
“บอส พวกนี้เป็นเอกสารที่ท่านต้องเซ็นเอง”
“งานประชุมสิบโมงเช้าของบริษัทพรุ่งนี้ แผนงานบริษัทที่ได้ทำขึ้นมานั้นต้องพูดในวันพรุ่งนี้”
“ก่อนที่ท่านกลับไป ยังต้องร่วมงานเลี้ยงของบริษัทที่มีชื่อเสียงในยุโรป”
กู้เนี่ยนก็ได้พูดไปทีละอย่าง ได้พูดเรื่องกำหนดการต่อจากนี้ของจิ้นเฟิงเฉินไปอย่างละเอียด
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า สีหน้าเย็นชา
“เอกสารนายเอาไว้นี่ งานประชุมพรุ่งนี้ฉันเข้าร่วม ส่วนเรื่องงานเลี้ยง นายปฏิเสธให้ฉันหน่อย”
“ครับ”
กู้เนี่ยนไม่ได้สงสัยในการตัดสินใจของเขา ก็ได้ตอบไปอย่างเด็ดขาดแล้วก็ออกไป
การเป็นผู้ช่วยของจิ้นเฟิงเฉิน เขาไม่มีทางที่จะถามมากไป และก็ไม่มีทางที่จะพูดอะไรไร้สาระไปแม้แต่คำเดียว
จิ้นเฟิงเฉินได้นวดหว่างคิ้ว ได้มองเอกสารที่กู้เนี่ยนเอามา จากนั้นก็ได้เซ็นชื่อตัวเองไป
จัดการเรื่องนี้เสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ปลดกระดุมคอเสื้อ ถึงได้รู้สึกหายใจสะดวก
นิ้วที่เรียวยาวก็ได้ควงปากกาสีทองอ่อนอย่างไม่รู้ตัว
หยุดควงปากกาเสร็จ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้มองจอที่ดับอยู่ของโทรศัพท์
อยู่นาน จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ยื่นมือไปเอาโทรศัพท์ แล้วก็โทรออกไป
ตู๊ดๆๆ ……
เสียงรอสายของปลายสายทำให้จิ้นเฟิงเฉินเริ่มอยู่ไม่นิ่ง จนกระทั่งตอนที่เขาจะถอดใจนั้น ทางนั้นก็ได้มีเสียง
จัดการกับอารมณ์ของตัวเอง จิ้นเฟิงเฉินก็ได้พูดออกไปเรียบๆ ว่า “สื้อสื้อ วันมะรืนผมก็กลับประเทศแล้ว”
ห้องทำงานได้เงียบผิดปกติ มีแค่เสียงของจิ้นเฟิงเฉินที่ดังอยู่ในนั้น
“เจอกันหน่อยไหม”
ในโทรศัพท์นั้นเหมือนได้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่ก็ฟังไม่ชัดว่าอีกฝ่ายพูดอะไร
จิ้นเฟิงเฉินก้มหน้าลง นิ้วได้ถูกระดาษขาว
เขากดเสียงให้ต่ำ เสียงที่ดูน่าหลงใหลก็เหมือนได้กระซิบอยู่ที่ข้างหูคนรัก
“ผมรอคุณ”
จิ้นเฟิงเฉินจะกลับประเทศแล้ว……
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้นั้น ในหัวของเจียงสื้อสื้อได้ว่างเปล่า
เป็นอยู่นานถึงได้ควบคุมอารมณ์ได้ แกล้งทำเป็นพูดกับจิ้นเฟิงเฉินอย่างปกติ
แต่ว่าตอนที่เธอจะพูดอะไรนั้น หน้าจอโทรศัพท์ก็ได้มืดลงแล้ว
เขาจะไปแล้วจริงๆ เหรอ……
เจียงสื้อสื้อมองไปนอกหน้าต่างหดหู่ ไม่รู้ว่าควรคิดอะไรดี
พอวางสายจากเจียงสื้อสื้อเสร็จ โทรศัพท์ก็ได้ถูกจิ้นเฟิงเฉินโยนไปอีกข้าง เขารู้สึกว่าขาดอากาศหายใจอย่างห้ามไม่อยู่
หินที่หนักได้ทับหัวใจจนเขาหายใจไม่ออก
เดินไปที่หน้าต่างสไตล์ฝรั่งเศสบานใหญ่ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้มองวิวของประเทศฝรั่งเศส
แผ่นหลังของเขามองแล้วดูโดดเดี๋ยวมากๆ ต่อให้อยู่ไกลๆ ก็สัมผัสได้ถึงความหดหู่ในตัวของเขา
ฝรั่งเศสนั้นดี แต่ไม่เหมาะกับเขา
ถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว
ตอนสายๆ นั้น จิ้นเฟิงเฉินก็ได้มาถึงสถานที่นัด
นี่เป็นที่ที่เขากับเจียงสื้อสื้อทานข้าวด้วยกันครั้งแรก
แต่ตอนนี้ก็เหลือแค่สถานที่แล้ว
เขาได้มาก่อนเวลานัดสิบนาที นั่งดื่มกาแฟข้างหน้าต่างคนเดียว
รอไปสิบนาที ก็ได้เห็นเจียงสื้อสื้อที่นอกหน้าต่าง
เจียงสื้อสื้อรู้ว่าหลังเจอกันคราวนี้ พวกเขาอาจไม่ติดต่อกันแล้ว
จิ้นเฟิงเฉินก็แค่มาบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย
ตอนที่เห็นจิ้นเฟิงเฉินนั้น เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าใจของตัวเองได้เต้นช้าลง
ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ยังไง
เสี่ยวเป่าก็เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอ มีปัญหา และเขาก็……
จิ้นเฟิงเฉินมองเห็นเจียงสื้อสื้อ ก็ได้ยิ้มอ่อนๆ ออกมา แล้วก็ได้ขยับที่นั่งให้เธออย่างสุภาพ สายตาของเขาก็ได้อ่อนโยนราวกับทะเลกว้าง
“คุณมาแล้ว”
“อืม……”
เจียงสื้อสื้อนั่งอยู่ตรงข้ามจิ้นเฟิงเฉิน พยายามที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้แสดงออกมา
ก็ได้เอาของหวานที่สั่งเมื่อกี้ให้เจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินพูดแนะนำว่า “ชิมดู ของหวานขึ้นชื่อของร้านนี้เสี่ยวเป่าชอบ”
ได้ยินชื่อเสี่ยวเป่า เจียงสื้อสื้อก็ได้นิ่ง ก็ได้ถามอย่างอดไม่ได้ “เสี่ยวเป่าเขา……ยังโอเคไหม?”
“กลับประเทศแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะกับเขา” จิ้นเฟิงเฉินตอบไปอย่างไม่มีอารมณ์อะไรมาแฝง
เจียงสื้อสื้อสะอึกไป มองของหวานที่อยู่ในจาน ลำคอก็ได้เริ่มติดขัด
เธอคิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแบบนี้ สายตาที่มองคนแปลกหน้าของเสี่ยวเป่าทำให้เธอเจ็บปวดหัวใจ
ทุกครั้งที่เสี่ยวเป่ามองเธอ สายตานั้นเป็นประกาย ดวงตาที่สวยนั้นเต็มไปด้วยความสุข
เขายิ้มออกมาก็เหมือนเทวดาตัวน้อย
แต่ว่าตอนนี้……
รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้วางช้อนกาแฟที่คนอยู่ลง ก็ได้พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ก่อนหน้านี้เสี่ยวเป่ามีโรคปิดกั้นตัวเอง หมอในประเทศรู้ถึงอาการของเสี่ยวเป่า มีประสบการณ์ มีพวกเขาอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง”
แต่ว่า คำพูดของเขาก็แค่การเอามาปลอบเจียงสื้อสื้อเท่านั้น
การรักษาของหมอสมัยนี้ไม่เป็นผลอะไรกับเสี่ยวเป่า
เจียงสื้อสื้อยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้เธอหวังอย่างเดียวว่าเสี่ยวเป่าจะหายเร็วๆ
เห็นเธอไม่พูดอะไร จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ชวนคุย “คุณรู้ว่าเสี่ยวเป่าทำไมถึงเรียกว่าเป่ยเฉินไหม?”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า ถึงแม้เธอจะรู้จักชื่อ แต่ไม่รู้ว่าชื่อนี้มีความหมายว่าอะไร
จิ้นเฟิงเฉินมองลง อธิบายออกไปว่า “เป่ยเฉินหมายถึงดาวเหนือ ตั้งชื่อนี้ให้เขาก็หวังว่าเขาจะเป็นเหมือนดาวเหนือที่สว่างบนท้องฟ้าตลอด ไม่มีวันดับ”
ดาวเหนือที่ไม่มีวันดับ……
‘เป่ยเฉิน’ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ