ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 730 เข้ารับตำแหน่ง
บทที่ 730 เข้ารับตำแหน่ง
เดิมทีนั้นพ่อฝู้ไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก เขาเพียงแค่พยักหน้า
แต่หลังจากที่เขาครุ่นคิดดูแล้ว พ่อฝู้ก็เบิกตากว้างทันทีด้วยความประหลาดใจและเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัดอีกครั้งหนึ่งว่า “ลูกจะไปฝึกงานที่บริษัทอย่างนั้นเหรอ?”
ฝู้จิงเหวินพยักหน้าตอบรับ
เดิมทีพ่อฝู้คิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องธุรกิจ จึงไม่เคยฝึกฝนเขามาก่อน
เนื่องจากว่าฝู้จิงเหวินให้ความสำคัญกับการแพทย์มาเสมอ
เมื่อเห็นท่าทางของพ่อฝู้มองมาอย่างประหลาดใจ ฝู้จิงเหวินจึงได้เอ่ยปากอธิบายว่า “ผมไม่อยากมอบภาระทั้งหมดไว้ที่สื้อสื้อ มันเหนื่อยเกินไปสำหรับเธอ”
เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจแน่วแน่ พ่อฝู้ซึ่งกำชับว่า “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ลูกไปทำงานที่บริษัทได้เลย ห้องของประธานยังคงเป็นของลูก ทางที่ดีอย่าทำสามวันหยุดสามวันนะ”
“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะ”
หลังจากรับคำพ่อพูดแล้วเขาก็เดินขึ้นชั้นบนไป
แต่เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน เขาก็ยังไม่ได้ตรงเข้าไปในห้องนอน แต่กลับเดินไปในห้องหนังสือ
พรุ่งนี้ตอนเช้าเขาจะไปทำงานที่บริษัทแล้ว แน่นอนว่าจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาจะได้รับความยินยอมจากคนส่วนมากได้อย่างไร อาจจะทำให้เจียงสื้อสื้อได้รับแรงกดดันมากกว่าเดิมเสียอีก
หลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ เขาก็นั่งลงตรงหน้าแล้วเริ่มทำความคุ้นเคยกับบริษัท แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความคิดของเขาก็ล่องลอย
ดวงตาที่ลึกล้ำจ้องมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเหม่อลอย มือทั้งสองข้างประสานกันค้ำไว้ที่คาง ไม่รู้ว่าตอนนี้ความคิดของเขาลอยไปไหน
เมื่อสองวันก่อนไคทลินนามาหาเขาอีกแล้ว
ครั้งนี้เธอไม่ได้พูดมากเหมือนครั้งก่อน แต่กลับเข้าสู่หัวข้อหลักว่า “คุณฝู้คะ ที่ฉันเดินทางมาหาคุณในวันนี้ฉันมีวัตถุประสงค์ อย่างไร ฉันไม่ต้องพูดคุณก็รู้ดี
ฤทธิ์ยาที่คุณเจียงได้รับไปนั้นน่าจะออกฤทธิ์ภายในไม่กี่วันนี้ ถ้าคุณยังไม่ตัดสินใจให้ดีละก็ เมื่อถึงเวลาแล้วคุณคงได้แต่จ้องมองดูเธอพยายามดิ้นรนต่อสู้กับความเจ็บปวด”
น้ำเสียงของเธอดูไม่แยแส สายตาเย็นชานั้นคอยจับตามองทุกอิริยาบถของฝู้จิงเหวิน
หลังจากได้ยินประโยคนั้นของไคทลินนา ฝู้จิงเหวินก็อดไม่ได้ที่จะกำมือขึ้น
เขารู้ว่าศาสตราจารย์ยังไม่อาจหายาแก้พิษได้ แม้แต่องค์ประกอบของกลุ่มตัวอย่างก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ
จากประโยคที่เธอบอกเมื่อสักครู่ คาดว่าเวลาของเจียงสื้อสื้อเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูบูดบึ้งด้วยความโกรธ แต่เขาก็พยายามพยักหน้าอย่างช้าๆ เพื่อเห็นแก่เจียงสื้อสื้อ
เขาไม่อาจจะทนมองดูเจียงสื้อสื้อตกอยู่สภาพตายทั้งเป็นต่อหน้าเขาได้
เมื่อพบว่าฝู้จิงเหวินพยักหน้าตกลงแล้วไคทลินนาก็ยิ้มออกมา
หลังจากนั้นเธอก็เอ่ยขึ้นว่า “เพียงแค่คุณจัดการกับจิ้นเฟิงเฉินได้ ยาของคุณเจียงฉันจะส่งให้คุณครบทุกอย่างไม่ขาดไม่เกิน”
ฝู้จิงเหวินยืนตะลึงงันอยู่กับที่ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาได้แต่กุมมือสองข้างเอาไว้แน่นและกัดฟันครุ่นคิด
เขาไม่รู้ว่าไคทลินนาจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่ารอบทิศเต็มไปด้วยความมืดมน
ค่ำคืนนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไปเยอะทีเดียว เพื่อเป็นการเย้ยหยันให้กับความสามารถอะไรประโยชน์ของเขานี้
เขาดูถูกตัวเองว่าแม้แต่ผู้หญิงคนที่เขารักยังปกป้องไว้ไม่ได้
ความคิดนี้จางหายไปเมื่อมีคนเข้ามาเคาะประตูขึ้นขัดจังหวะ เขาหันหน้าไปแล้วตอบว่า “เชิญครับ”
เจียงสื้อสื้อผลักประตูเข้ามา ในมือของเธอมีนมร้อนอยู่แก้วหนึ่ง
เนื่องจากเพิ่งจะอาบน้ำ จึงทำให้ผมยาวประบ่านั้นยังมีน้ำหยดลงมา
ฝู้จิงเหวินอดไม่ได้ที่จะมองดูเธอ
แต่ว่าเจียงสื้อสื้อไม่ได้สนใจกับท่าทางของฝู้จิงเหวิน เธอนำนมร้อนวางไว้บนโต๊ะและนั่งลงตรงหน้าเขา
“ได้ยินว่าคุณจะไปทำงานที่บริษัทเรื่องจริงเหรอคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นฝู้จิงเหวินก็ละสายตากลับมาแล้วพยักหน้า
จากนั้นหันมายกแก้วนมขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกเพื่อเป็นการบดบังกริยาของตัวเองเมื่อสักครู่
เขามองไปทางเจียงสื้อสื้อ กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “คุณพ่ออายุมากแล้วครับ ผมเองควรที่จะเข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระของท่านบ้าง”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเขา เธออยู่ในห้องหนังสืออีกสักพักเมื่อเห็นว่าฝู้จิงเหวินกำลังยุ่งอยู่กับงานเธอจึงได้ลุกขึ้นยืนและเดินจากไป
เมื่อเห็นเจียงสื้อสื้อเดินออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงได้แอบมองไปตรงประตูด้วยสายตาซับซ้อน
ดวงตาคู่นั้นมองไปยังที่ที่เจียงสื้อสื้อนั่งเมื่อสักครู่ราวกับว่าเธอยังอยู่ตรงนั้นแล้วยิ้มให้กับเธอ
เขายกแก้วนมขึ้นมาและดื่มมันจนหมด
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆ และท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว
หลายปีมานี้เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการแพทย์ ดังนั้นเมื่อเขามองดูเอกสารของบริษัทเหล่านี้จึงทำให้ปวดหัว
อีกทั้งในสมองยังมีเรื่องอื่นอยู่ ดังนั้นฝู้จิงเหวินจึงนอนไม่หลับ
เช้าวันต่อมาเขาตื่นมาแต่เช้า
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปยังห้องหนังสือและนำเอกสารทุกอย่างจัดเรียงเอาไว้ในใจอีกรอบ
เขาอ่านความคืบหน้าของโครงการสำคัญล่าสุดในบริษัทอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นก็ลงไปรับประทานอาหารเช้าอย่างเร่งรีบ ต่อจากนั้นฝู้จิงเหวินก็เดินไปยังลานกว้าง
คนรับใช้ได้เตรียมรถรอเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นเขาเดินออกมาก็ได้ยื่นกุญแจรถให้ฝู้จิงเหวินด้วยความเคารพ
หลังจากที่รับกุญแจรถไป ฝู้จิงเหวินก็ไม่รีรอเขารีบมุ่งหน้าตรงไปยังบริษัท
เมื่อเดินทางไปถึงบริษัท พ่อฝู้ได้จัดให้เลขายืนรออยู่ตรงลิฟต์แล้ว
หลังจากเห็นว่าฝู้จิงเหวินเดินทางมาถึง เธอก็ถือแฟ้มเอกสารและเดินตรงเข้ามาพูดทักทายอย่างมีมารยาทว่า “ท่านประธานฝู้สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นเลขาของคุณ คุณเพิ่งจะเข้าทำงาน หากมีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนสามารถสอบถามฉันได้โดยตรงนะคะ”
ฝู้จิงเหวินได้แต่ตอบรับว่า “อืม” อยู่เบาๆ จากนั้นเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยตนเอง
หลังจากเดินเข้ามาถึงห้องทำงาน เลขาได้จัดวางเอกสารทุกอย่างไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งจัดตารางงานประจำวันให้กับเขา วางมันไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
ฝู้จิงเหวินก้มมาลงมองดูนาฬิกาข้อมือ อีกครึ่งชั่วโมงจะเป็นเวลาแปดโมง
ดูจากตารางงานในวันนี้ เขามีประชุมตอนแปดโมงตรง
หลังจากตรวจดูเอกสาร 2 ชุดที่มีคำสั่งซื้อที่อาจเป็นไปได้เรียบร้อยแล้ว ฝู้จิงเหวินก็เดินลงลิฟต์ไปยังห้องประชุม
ภายในห้องประชุมนั้นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดินทางกันมาครบแล้ว
พวกเขากำลังคุยกันถึงเรื่องฝู้จิงเหวิน และเมื่อฝู้จิงเหวินเดินเข้าไปเสียงซุบซิบนินทาก็หยุดลงทันที
ฝู้จิงเหวินเดินเข้าไปนั่งในตำแหน่งประธานและเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างมีมารยาทว่า
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมฝู้จิงเหวิน จะมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัทคนใหม่ ผมคิดว่าทุกท่านคงรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในวงการธุรกิจมาก่อน แต่ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะลองให้โอกาสยอมรับผม แล้วผมจะนำสินค้าของพวกเราเดินไปสู่สากล”
เป็นเพียงประโยคการแนะนำตัวเองสั้นๆเรียบง่ายแต่ได้รับเสียงปรบมือจากด้านล่างดังสนั่น
หลังจากเสียงปรบมือสิ้นสุดลงแล้ว ฝู้จิงเหวินก็ไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ เขาเข้าสู่เนื้อหาการประชุมหลักนั่นก็คือ “ตอนนี้เราสามารถรับออเดอร์คำสั่งซื้ออยู่ 2 อย่าง”
ขณะที่กำลังพูดเขาก็ให้เลขานำเอกสารแจกจ่ายไปให้ทุกคน
ไม่นานต่อมา ห้องประชุมที่เงียบสงัดก็มีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“ทั้งสองคำสั่งซื้อนี่ล้วนเป็นออเดอร์ใหญ่ สำหรับพวกเราแล้วไม่น่าจะทำได้ง่ายๆ”
“ที่สำคัญก็คือ ต่อให้ได้หนึ่งในออเดอร์นั้นมา พวกเราก็ต้องใช้เวลานานมาก”
“บริษัทของพวกเรายังไม่มีกำลังสูงขนาดนั้นหรอก”
“……”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังมาไม่ขาดสาย ฝู้จิงเหวินขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
หลังจากได้ยินความคิดเห็นของทุกคน ฝู้จิงเหวินยังไม่ตัดสินใจพูดอะไรออกมา เขารอจนกระทั่งเสียงค่อนข้างเงียบลงจึงได้ลุกขึ้นยืน
“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้นะครับ เรื่องของคำสั่งซื้อผมจะเป็นคนจัดการเอง แน่นอนว่าถ้าผมมีตรงไหนยังไม่เข้าใจต้องรบกวนพวกคุณช่วยแนะนำด้วย”
พูดจบ ฝู้จิงเหวินก็จัดแจงเอกสารของตนเองและเดินออกไป
ทิ้งให้คนที่อยู่ในห้องประชุมนั้นได้แต่มองหน้ากันและหันไปมองเขาที่เดินจากไป