ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 780 ตรวจเช็กอีกรอบ
บทที่ 780 ตรวจเช็กอีกรอบ
ประมาณสิบนาทีต่อมา หลังจากฝากให้แม่บ้านดูแลเสียวเป่าและเถียนเถียนแล้ว ทั้งคู่ก็ออกจากบ้านไปพร้อมกัน
จิ้นเฟิงเฉินขับรถด้วยตัวเอง เจียงสื้อสื้อเอนตัวนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ดวงตาของเธอดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“ถ้าคุณง่วงก็นอนพักผ่อนได้เลย ถ้าถึงแล้วผมจะปลุกคุณเอง”
จิ้นเฟิงเฉินเอนตัวเข้าไปช่วยเธอสวมเสื้อคลุมให้ดี เขาคลุมร่างกายส่วนบนของเจียงสื้อสื้อไว้อย่างแน่นหนา
“โอเค”
ช่วงนี้เจียงสื้อสื้อง่วงอยู่บ่อยๆ เธอพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง
รถขับไปเรื่อย ๆ บนทางหลวงที่เรียบสงบ เงาของต้นไม้วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วและถูกเหวี่ยงทิ้งไว้ข้างหลัง
แสงแดดอันอบอุ่นในช่วงยามบ่ายส่องลงบนใบหน้าที่ขาวสวยของเจียงสื้อสื้อ ในขณะที่รอไฟแดง จิ้นเฟิงเฉินก็เหลือบมองเธอ
ใบหน้าของเธอดูนุ่มนวล ใบหน้าที่หลับใหลอยู่นั้นดูสงบเป็นพิเศษ ราวกับภาพวาดที่สวยงามอย่างยิ่ง ซึ่งตราตรึงอยู่ในหัวใจของจิ้นเฟิงเฉิน
จิ้นเฟิงเฉินขยับปลายนิ้วเล็กน้อย สัมผัสลงบนผิวที่บอบบางของเธออย่างแผ่วเบา
จากปลายจมูกที่โด่งสูงจนลงไปสัมผัสถึงริมฝีปากสีแดงสดนั้น เสียงแตรที่หนวกหูก็ดังขึ้น
ไม่รู้ว่าไฟแดงเป็นไฟเขียวตั้งแต่เมื่อ รถคันหลังเขารอจนรำคาญ จึงบีบแตรใส่เขา
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบไปมองเจียงสื้อสื้อโดยสัญชาตญาณ พบว่าเธอยังไม่ตื่น เขาจึงขับรถออกไปทันที
เมื่อพวกเขามาถึงสถาบันวิจัยโม่เหยียเพราะว่าพวกเขานัดไว้ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงก็มีคนมานำพวกเขาสองคนไปพบโม่เหยีย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า โม่เหยียรู้ว่าเป็นจิ้นเฟิงเฉิน เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
“คุณชาย คุณหญิง พวกคุณนั่งรอสักพัก ฉันขอไปจัดการตรงนี้ก่อน อีกสักพักก็เรียบร้อยแล้ว”
จากนั้นเขาก็จ้องไปที่กล้องจุลทรรศน์สักพัก และส่งของในมือไปให้ชายข้างๆ อย่างใจเย็น
โม่เหยียตบไหล่คู่หูของตนและกระซิบว่า “หานยู่คุณศึกษาไปก่อน ฉันจะพาคุณหญิงไปตรวจเช็กก่อน”
ชายที่มีชื่อว่าหานยู่พยักหน้า
เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปที่จิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อที่อยู่ตรงหน้าประตู แววตาของเขาจับจ้องไปที่เจียงสื้อสื้อด้วยสายตาที่สงสัย
บุคคลนี้เป็นผู้ช่วยของโม่เหยียเจียงสื้อสื้อส่งยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
หานยู่ลดสายตาลงทันที เขาดูลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย และมือสั่นเล็กน้อย
จิ้นเฟิงเฉินที่อยู่ข้างๆ ก็ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาจ้องมองไปที่หานยู่อยู่นาน เขารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอย่างมาก
“บอส ไปกันเถอะ”
โม่เหยียเดินเข้ามาและเรียกเขา ทำให้จิ้นเฟิงเฉินหยุดคิด
“มีอะไรเหรอ?” เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะถาม
เขาละสายตากลับไป จิ้นเฟิงเฉินส่ายหัว ทั้งสามคนก็เคลื่อนที่ไปที่ห้องข้างๆ
โม่เหยียพาเจียงสื้อสื้อไปที่ห้องเมื่อครั้งที่แล้ว พูดอย่างอ่อนโยนว่า “คุณหญิง เราตรวจเช็กอีกรอบก็เป็นการเสร็จสิ้นแล้ว”
เมื่อนอนอยู่บนเตียงตรวจเช็ก เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะเอียงหัวแล้วมองไปที่โม่เหยีย
“ฉันอยากถามว่า ผลการตรวจครั้งที่แล้วของฉันออกมาหรือยังคะ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิ้นเฟิงเฉินเองก็มองตามไป
โม่เหยียตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้ม “อืม ผลออกมาแล้วครับ พอจะทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
เจียงสื้อสื้อตื่นเต้นมาก “แล้ว … โรคที่ฉันเป็นมันรักษายากใช่ไหมคะ? ไวรัสแพร่กระจายตัวหรือยัง”
เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย พอดูออกว่าเธอกลัวแค่ไหน
เมื่อเห็นเช่นนี้ มือของโม่เหยีย วางลงเล็กน้อย เขาพูดอย่างปลอบโยน” ไม่ใช่ ยังสามารถควบคุมได้ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
เช่นนี้ เจียงสื้อสื้อจึงสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย พูดพร้อมร้อยยิ้มที่อ่อนโยนว่า “ขอบคุณนะคะ โม่เหยีย”
เมื่อเห็นเธอยิ้มออกมาราวกับดอกไม้ที่เบิกบาน โม่เหยียไม่อยากจะบอกเรื่องจริงที่โหดร้ายกับเธอเลย
จิ้นเฟิงเฉินมองดูสีหน้าของโม่เหยีย เขาครุ่นคิดอย่างหนัก
หลังจากที่ เจียงสื้อสื้อถูกพาไปเข้ารับการตรวจเช็กเพิ่มเติม ในห้องนั้นเหลือเพียงแค่เขาและโม่เหยีย
รอยยิ้มบนใบหน้าของโม่เหยียค่อยๆ หายไป และจริงจังขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ” คุณชายครับ เราออกไปคุยหันด้านนอกกันเถอะครับ”
ทั้งสองเดินไปที่ทางเดินทอดยาวด้านนอก โม่เหยียพิงไปที่กำแพง แล้วเกาผมด้วยความฟุ้งซ่าน
ความหงุดหงิดนั้นฉายผ่านหัวใจของจิ้นเฟิงเฉิน และเขาเอ่ยปากถามว่า ” มาคุยกันเถอะ สถานการณ์ของเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างไร”
โม่เหยียจับไปที่คอของตน ผ่านไปสักพัก เขาก็ยืนตรงขึ้นมา
“จากผลตรวจเลือดมาดูแล้ว เราพบว่าไวรัสที่อยู่ในร่างกายของคุณหญิงนั้นจัดการได้ยาก ผมเช็กดูแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีวิธียับยั้งที่ดี กรณีอย่างคุณหญิง ตอนนี้ยังไม่พบคนไข้ที่มีกรณีเดียวกับ อาจพูดได้ว่าเธอเป็นกรณีแรก นั่นคือคนแรกที่ติดโรคนี้ ”
คำพูดของโม่เหยียเป็นเหมือนตะปูที่ตอกเข้าหัวใจของจิ้นเฟิงเฉินอย่างแรง
ดูเขารู้สึกเหมือนตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง มันหนาวเยือกเย็นทะลุถึงกระดูก
สีหน้าจิ้นเฟิงเฉินดูเศร้าหมอง แสงประกายในดวงตาของเขาก็ดับวูบลงทันที หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเสียงแหบว่า “แม้แต่คุณเองก็ไม่มีวิธีแก้ไขเหรอ?”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย ขอบตาเป็นสีแดง
เขาคาดเดาไว้แล้วว่าอาการของเจียงสื้อสื้อคงแย่ แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะเป็นกรณีพิเศษเช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทางที่หมดหวังของจิ้นเฟิงเฉิน โม่เหยียก็ตบไปที่ไหล่ของเขา และปลอบโยนว่า ” คุณชาย คุณอย่าทำสีหน้าเช่นนี้สิ
อาหารของคุณหญิงนั้นยังไม่ถือว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา เรายังมีเวลา วิธีแก้นั้นเราคิดออกมาได้อยู่แล้ว ผมจะพยายามศึกษาเรื่องนี้ให้ดีที่สุด นอกจากนี้หานยู่สนใจกรณีนี้มากเช่นกัน เราเชิญเขามาแล้ว เราสองคนร่วมมือกัน คุณยังไม่ไว้วางใจอีกหรือ?”
“หานยู่?” จิ้นเฟิงเฉินพึมพำชื่อนี้ออกมา
“เพื่อนร่วมชั้นมหาลัยของผมเอง คนที่อยู่ข้างๆ ผมเมื่อสักครู่นี้ไงครับ เมื่อก่อนผมเคยพูดถึงเขาให้คุณฟัง เจ้านี่เป็นอัจฉริยะทางการแพทย์เลยนะ
สำหรับพวกเชื้อโรคแปลก ๆ เหล่านี้ เขาจริงจังมากกว่าผมเสียอีก หากมีเขาร่วมทีมด้วย ผมเชื่อว่าเราจะหาทางรักษาพี่สะใภ้ของผมได้อย่างแน่นอน ”
โม่เหยียรับปากอย่างมั่นใจ
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบมองเขา ดวงตาของเขาเปล่งประกาย “จริงเหรอ? ”
รู้สึกถึงความไม่ไว้วางใจอย่างของจิ้นเฟิงเฉิน โม่เหยียเม้มปากและกล่าวว่า ” ถ้าผมร่วมมือกับหานยู่แล้วยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีใครรักษาให้หายได้แล้ว”
แววตาที่เย็นชาในดวงตาของจิ้นเฟิงเฉินมองไปที่เขาทันที โม่เหยียรีบเอามือปิดปากอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ ผมหมายความว่า คุณหญิงจะไม่เป็นอะไร วางใจได้เลยครับ ยมบาลจะเอาคนกลับไป ก็ต้องถามด้วยว่าผมยอมปล่อยไปรึเปล่า! ”
ความมั่นใจนั้นจิ้นเฟิงเฉินเห็นแล้ว และเหมือนว่าเขาได้เห็นกับแสงสว่างด้วยเช่นกัน
โม่เหยียมีความสามารถมากพูดที่จะพูดเช่นนี้ออกมา
เขาบอกว่ามีวิธี ก็แปลว่ามีวิธีจริงๆ
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณนะครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเธอ” จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าและตบไปที่ไหล่ของโม่เหยียอย่างเคร่งขรึม
โม่เหยียมีหน้าที่ที่หนักแน่น เขาเองก็เคร่งขรึมขึ้นมาและพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังจากผ่านไปสักพัก เจียงสื้อสื้อตรวจร่างกายเสร็จแล้วออกมา
โม่เหยียก็ถามคำถามไปสองสามคำถามเป็นพิธี บอกข้อควรระวังต่างๆ ให้กับเจียงสื้อสื้อ
หลังจากคุยกันไปสักพัก จิ้นเฟิงเฉินก็พาเจียงสื้อสื้อออกไปจากสถาบัน
ระหว่างทางนั้น จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้พูดอะไรเลย สันกรามของเขาตึงแน่น สีหน้าเหม่อลอย