ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 823 จัดพิธีแต่งงานที่นี่
บทที่ 823 จัดพิธีแต่งงานที่นี่
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้หันกลับไปมองเธอ แต่ยิ้มให้กับเจ้าของร้านยางอ่อนโยนว่า “ขอบคุณครับ พวกเราจะเป็นแบบนั้นแน่”
เมื่อพูดจบก็โอบบ่าเจียงสื้อสื้อเดินออกไป
พวกเขากำลังเดินออกจากประตู จิ้นเฟิงเฉินก็บีบปลายจมูกของเจียงสื้อสื้อแล้วพูดว่า “เขาบอกว่า พวกเราจะต้องมีความสุขแบบนี้ตลอดไป”
เจียงสื้อสื้อยิ้ม เธอยังคงอยู่ในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน เธอชิมโดนัททุกรสชาติทีละคำ
“นี่ คุณก็ลองชิมดูสิคะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วยื่นโดนัทชิ้นหนึ่งไปให้เขา ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติราวกับถูกฝึกซ้อมมาหลายพันครั้ง
จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองดวงตาของเธอ จากนั้นกัดเข้าไปคำนึงก่อนจะค่อยๆเคี้ยวขึ้น
สายตาของเขาไม่เคยละทิ้งไปจากเจียงสื้อสื้อแม้แต่ครึ่งวินาที ราวกับว่าเขากำลังชิมเธออยู่
“อืม อร่อยมากครับ”
เหมือนกับคุณเลย
จิ้นเฟิงเฉินพูดเสริมขึ้นมาในใจ
เมื่อมองเข้าไปในสายตาลึกล้ำของเขา เจียงสื้อสื้อก็ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นหน้าของเธอก็เริ่มแดงเรื่อ
แสงแดดส่องกระทบมาบนใบหน้าของทั้งสองคน ในอากาศอบอุ่นไปด้วยกลิ่นหอมหวาน
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีนกพิราบสีขาวบินเข้ามา นักท่องเที่ยวยังคงพลุกพล่านดังเดิม
บรรยากาศที่แตกต่างออกไป ล้อมไปรอบพวกเขาทั้งสองคนคล้ายกับเป็นความรักอันอ่อนโยน
หลังจากที่กินโดนัทในมือหมดแล้วเจียงสื้อสื้อก็หันกลับมาแล้วพูดกับจิ้นเฟิงเฉินว่า “พวกเราไปที่อาสนวิหารมิลานกันเถอะค่ะ ได้ยินว่าที่นั่นสวยงามและโรแมนติกมากฉันเองยังไม่เคยไปเลย”
ดวงตาของเธอเป็นประกายดุจดวงดาวและกะพริบมองดูจิ้นเฟิงเฉิน
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินมองเห็นภาพตรงหน้านี้ เขาก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วนำมือไปลูบผมของเธอ “ได้ครับ วันนี้คุณอยากไปไหนเราก็จะไปที่นั่นกัน”
น้ำเสียงเขาช่างอ่อนโยนเสียจนเอ่อล้นออกมา
เมื่อได้รับคำตอบจากเขา เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจราวกับเด็กน้อย
……
ณ อาสนวิหารมิลาน
รูปปั้นพระแม่มารีย์อาส่องแสงเป็นประกายสีทองท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ซึ่งมองดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
เจียงสื้อสื้อมองไปยังสถานก่อสร้างอันงดงามเบื้องหน้าและเหม่อลอยออกไป
ด้านหน้าของโบสถ์มีคู่สามีภรรยากำลังถ่ายรูปแต่งงานอยู่ ชุดแต่งงานที่ดูสะอาดสะอ้านสะท้อนให้เห็นถึงลวดลายโบราณของอาสนวิหาร
แม้ว่าเธอจะเคยเห็นชายหญิงที่แต่งงานกันมามากมาย แต่ฉากอันอบอุ่นด้านหน้านี้ก็ยังทำให้ผู้คนที่พบเห็นอดไม่ได้ที่จะมองดู
เจียงสื้อสื้อมองไปทางพวกเขา ส่วนเขากำลังมองดูเธอ
“ชอบเหรอครับ?”
ทันใดนั้นเสียงของจิ้นเฟิงเฉินก็ดังขึ้นข้างบนศีรษะเธอ
เขาคิดมาเสมอว่าตนติดค้างงานแต่งให้แก่เธอ
เป็นงานแต่งงานที่หญิงสาวทุกคนล้วนใฝ่ฝัน
“ใช่ค่ะ โบสถ์หลังนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ในวันนี้เมื่อฉันได้เดินมาดูด้วยตัวเองก็พบว่ามีร่องรอยต่างๆมากมาย”
พูดจบเจียงสื้อสื้อก็มีความคิดขึ้นมาว่า
เราจะมีอายุได้นานขนาดไหนกัน?
เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของอาสนวิหารแห่งนี้แล้วมันช่างบอบบางเสียจนไม่อาจเปรียบเทียบได้
ไม่ว่าจะเป็นคนสิ่งของหรือใดๆก็ล้วนเปราะบาง
ดังนั้นคนเราควรจะทำทุกวินาทีให้มีค่าและหวงแหนเวลา
เมื่อคิดได้ดังนี้เธอก็หันไปมองจิ้นเฟิงเฉินและยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน
ทั้งสองคนสบตากัน เจียงสื้อสื้อเอ่ยถามด้วยความคาดหวังว่า “คุณชอบโบสถ์ที่นี่ไหมคะ?”
“ผมก็ชอบครับ” จิ้นเฟิงเฉินตอบรับ
ผมชื่นชอบทุกสิ่งที่คุณชอบ
บางทีอาจเป็นเพราะว่าเธอชอบก็ได้ จึงทำให้เขาเงยหน้ามองดูอยู่หลายครั้ง
อืม มันช่างโดดเด่นเหลือเกิน เหมาะสำหรับจัดพิธีแต่งงานมาก
“ถ้าอย่างนั้นในอนาคตเราจัดงานแต่งที่นี่ดีไหมครับ?”
จิ้นเฟิงเฉินถามความคิดเห็นของเธออย่างจริงจังและก็ดูกังวลเล็กน้อย
เนื่องจากเธอไม่เคยยอมรับมาก่อนว่าทั้งสองคนแต่งงานกันเป็นเรื่องจริง ไม่เป็นไรหรอกเขารอได้
รอให้เธอค่อยๆจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ รอให้เธอยอมรับเขาอีกครั้งหนึ่ง รอให้เธอเชื่อใจเขาจากใจ
เจียงสื้อสื้อชะงักลงทันที เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อคิดไปคิดมา เธอก็ถามออกมาว่า “พวกเรา……เคยแต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
เธอเงยหน้าขึ้นมองและถามอย่างจริงจัง
เมื่อได้ยินดังนั้น ในใจของจิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกผิดมาก เขาเดินหน้าขึ้นมาแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น
“สื้อสื้อ ขอโทษครับ ผมติดค้างงานแต่งให้คุณมาตลอด ที่จริงตอนที่พวกเราเพิ่งแต่งงานกันผมก็กำลังจัดเตรียมอยู่ แต่ในตอนนั้นจู่ๆคุณก็หายตัวไป ผมตามหาคุณอยู่นานมากจริงๆ แต่ยังโชคดีที่หาคุณจนพบ”
เมื่อสิ้นเสียงลง อ้อมแขนของชายหนุ่มก็แน่นขึ้นมาเล็กน้อย ราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไปอีกครั้ง
เจียงสื้อสื้อและผู้ชายคนที่อยู่ตรงหน้ากอดกันแน่น เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงของเขา สัมผัสได้ถึงความเสียใจที่เขามีในตอนนี้
เจียงสื้อสื้อนำมือลูบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆแล้วยิ้มขึ้น รอยยิ้มของเธอช่างบริสุทธิ์และเปี่ยมไปด้วยความสุข “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดพิธีแต่งงานที่นี่นะคะ”
ครั้งนี้เป็นจิ้นเฟิงเฉินที่ตกตะลึง
เขามองเข้าไปในดวงตาของเจียงสื้อสื้อที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อว่า “คุณเห็นด้วยงั้นหรือครับ? คุณยอมรับเรื่องงานแต่งงานของเราแล้วใช่ไหม?”
ไม่รอให้เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตอบรับ จิ้นเฟิงเฉินก็อุ้มเจียงสื้อสื้อขึ้นมาแล้วหมุนไปรอบๆอยู่หลายรอบ เขาดีใจเสียจนไม่อาจหาคำไหนมาบรรยายได้
ในเวลานี้ดูเหมือนทุกสิ่งในโลกจะหยุดลง
ใจกลางเมืองมิลานซึ่งเป็นศูนย์กลางของโลกมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
……
พระจันทร์ขึ้นส่องสว่าง
ไฟบนถนนมีสีสันสดใสและครึกครื้น มันอบอุ่นแตกต่างจากตอนกลางวันมาก
มิลานในตอนนี้ ช่างสนุกสนานและโรแมนติก
ตลอดช่วงบ่ายจิ้นเฟิงเฉินมีความสุขมาก
เขาพาเจียงสื้อสื้อเดินเที่ยวไปตามถนนในมิลาน และพาเธอไปกินของทุกชนิดที่เธอโปรดปราน ซื้อของทุกอย่างที่เธอชื่นชอบ
โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
ต่อมา จิ้นเฟิงเฉินจึงได้พาเจียงสื้อสื้อที่ยังไม่หยุดสนุกกลับบ้าน
หลังจากกลับมาถึงบ้าน เจียงสื้อสื้อก็ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟา
เมื่อจิ้นเฟิงเฉินเห็นดังนั้นจึงได้เข้าไปเปลี่ยนรองเท้าให้เธอด้วยความระมัดระวังและถือน้ำอุ่นมาแก้วหนึ่ง
เขานั่งลงข้างๆเธอ เจียงสื้อสื้อเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
เมื่อดื่มน้ำแก้วน้ำจนหมด จิ้นเฟิงเฉินก็โทรศัพท์หาเสี่ยวเป่า
ไม่นานต่อมาโทรศัพท์ก็ถูกรับสายขึ้น ภาพในVideo Call ฟางเสว่มั่นกอดเถียนเถียนไว้ในอ้อมแขน ส่วนเสี่ยวเป่าก็นั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวเล็กข้างๆ เขายื่นศีรษะเข้ามาในหน้าจอ
“แด๊ดดี้!หม่ามี๊!”
ทันใดนั้นเถียนเถียนก็พูดออกมาเช่นกันว่า “หม่ามี๊ๆ! เถียนเถียนคิดถึงจังเลย!”
เมื่อเห็นบรรยากาศในบ้านที่กลมกลืนกันเช่นนี้ สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินก็ดีขึ้นมาไม่น้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนฟังคำพูดของคุณยายหรือเปล่าครับ?”
เถียนเถียนรีบตอบกลับไปว่า “หนูกับพี่ชายเชื่อฟังคำสั่งสอนมากค่ะ”
เมื่อเห็นท่าทางอันน่ารักของเถียนเถียน เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้อยากจะอุ้มเจ้าหนูน้อยตัวนี้ไว้ในอ้อมแขนเหลือเกิน