ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 825 ครอบคลุมไปทั่วเมือง
บทที่ 825 ครอบคลุมไปทั่วเมือง
ชีซามองเห็นการกระทำของสองสามีภรรยานี้ เธอเหล่ตามองดูจิ้นเฟิงเฉินที่ทำท่าทางอบอุ่นต่อหน้าเจียงสื้อสื้อ จึงได้ตักอาหารเข้าปากเคี้ยวไปอย่างช้าๆไม่มีสีหน้าใดๆแสดงออกมา
ต่อมาบรรยากาศนับว่าค่อนข้างปกติ แม้ว่าคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวอาจจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่เจียงสื้อสื้อไม่สนใจแม้แต่น้อย
เนื่องจากรสชาติของอาหารถูกปากเธอมากและเธอก็รับประทานอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นท่าทางของเจียงสื้อสื้อ อารมณ์ของจิ้นเฟิงเฉินก็พลอยดีตามไปด้วย
เจียงสื้อสื้อนำกุ้งตัวสุดท้ายที่วางอยู่ในจานกลืนลงไป หลังจากนั้นเธอก็เช็ดปากอย่างมีมารยาทและลุกขึ้นยืน
“ฉันไปห้องน้ำหน่อยนะคะ”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า ชีซามองไปทางเธออย่างตั้งใจ และทำท่าราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
เจียงสื้อสื้อหันไปยิ้มกับทั้งสองคน เธอเข้าใจดีว่าการที่ชีซาเดินทางมาในวันนี้ไม่เพียงแค่จะมารับประทานอาหารเท่านั้นแน่ๆ
ดังนั้นเธอจึงเดาได้ว่าทั้งสองคนคงจะมีหัวข้อสนทนาที่ไม่สะดวกพูดถึงต่อหน้าเธอ
หลังจากที่เธอเดินจากไปในห้องรับประทานอาหาร ก็เหลือเพียงจิ้นเฟิงเฉินและชีซาแค่สองคน
แรงกดดันรอบข้างในขณะนี้เพิ่มมากขึ้นจนถึงที่สุด
ในดวงตาของจิ้นเฟิงเฉินนั้นราวกับมีแสงอันเยือกเย็นในฤดูหนาวแผ่ออกมา อารมณ์ที่ถูกกดดันเอาไว้เมื่อสักครู่ระเบิดออก ณ วินาทีนี้
“พูดเถอะ วันนี้มาที่นี่ทำไม?”
เมื่อได้ยินดังนั้นชีซาก็พูดออกมาอย่างโมโหว่า “จิ้น! ฉันมาเตือนคุณก็เพราะหวังดีนะ ทำไมท่าทางคุณมันถึงดูแย่ขนาดนี้ ทำเหมือนกับว่าฉันติดเงินคุณอย่างนั้นแหละ!”
“ถ้าคุณแค่ติดเงินผมจริงๆผมก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
น้ำเสียงของจิ้นเฟิงเฉินพูดขึ้นอย่างเรียบง่ายว่า “คุณรู้ดีนี่ว่าตามปกติแล้วผมไม่ชอบให้ใครมารบกวน อย่ามาล้อเล่นกับขีดจำกัดของผม”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ภรรยาคุณอยู่ที่นี่ ก็เลยไม่อยากจะให้ฉันปรากฏตัวขึ้นเลยใช่ไหมคะ?”
ชีซาพูดขึ้นขัดจังหวะเขา เธอเลิกคิ้วแล้วยิ้มว่า “คุณจะปกป้องเธออย่างนี้จริงๆเหรอ?”
ดวงตาของจิ้นเฟิงเฉินเยือกเย็นลง และไม่อยากจะไปต่อปากต่อคำกับเธอจึงได้พูดเตือนขึ้นว่า “ผมให้เวลาคุณอีกครึ่งนาที ถ้าคุณไม่สามารถพูดเรื่องที่สมเหตุสมผลออกมาได้ ก็ออกไปจากที่นี่ซะ อย่ามาเกะกะต่อหน้าผม!”
ชีซากลอกตามองเขาด้วยท่าทางไม่พอใจ “คุณทนรอไม่ไหวอยากจะไล่ฉันไปขนาดนั้นเลยเหรอ? คุณลองคิดดูดีๆพวกเรารู้จักกันมากี่ปีแล้ว?”
“คุณมาหาผมเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆเหรอ?”
ใบหน้าของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆเลย น้ำเสียงยิ่งพูดก็ยิ่งเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสะท้าน
ชีซาไม่แปลกใจเลย ถ้าหากเธอตอบออกไปว่า “ใช่” ก็คงจะถูกจิ้นเฟิงเฉินขับไล่ออกไปทันที
เมื่อเห็นว่าพูดจาล้อเล่นกับเขาพอประมาณแล้ว ชีซาก็เก็บอารมณ์ตลกเอาไว้ แล้วพูดด้วยท่าทางจริงจังว่า “ฉันมาเตือนคุณด้วยความหวังดี มีคนกำลังสะกดรอยตามคุณอยู่ แต่ว่าฉันได้เบี่ยงเบนความสนใจของพวกนั้นออกไปแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินก็ทำหน้านิ่ง “เป็นใครรู้หรือเปล่า?”
ชีซาพูดออกมาอย่างไม่ไยดีว่า “ยังต้องบอกอีกเหรอ? ต้องเป็นคู่อริของคุณอยู่แล้ว! ศัตรูของคนมีมากมายทั่วเมืองไปหมด ต่อให้ฉันนั่งนับทั้งวันก็คงนับไม่หมด!”
ประโยคนี้เธอไม่ได้พูดเล่นๆ
แต่ว่า เขาก็อยากจะรู้ว่าเป็นใครกันแน่ที่กล้าดีมาสะกดรอยตามเขา?
เขาจึงได้นี่เงียบตกอยู่ในภวังค์ เมื่อไม่เห็นว่าเขาไม่พูดอะไรออกมา ชีซาเองก็นิ่งเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นิ้วมือเรียวงามของจิ้นเฟิงเฉินวางอยู่ตรงแก้ว เขาถูไถไปกับขอบแก้วอันขาวสะอาด
บรรยากาศรอบข้างดูอึมครึมมากขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปสักพัก เขาก็เหล่ตามองดูชีซาแล้วพูดออกมาเบาๆว่า “คุณยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า?”
ชีซากลอกตามองดูจิ้นเฟิงเฉิน และเห็นเขาทำท่าทางทำร้ายความรู้สึกแบบนั้นจึงได้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกคนที่สะกดรอยตามคุณมีอำนาจไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากนี้เวลาออกไปข้างนอกคนระมัดระวังหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ข้างนอกเต็มไปด้วยอันตราย”
จิ้นเฟิงเฉินมองไปยังทิศทางที่เจียงสื้อสื้อจากไปเมื่อสักครู่ เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วกำชับออกมาอย่างไม่เกรงใจว่า “เอาล่ะผมรู้แล้ว ตอนนี้คุณอย่าอยู่ที่นี่ต่อไปเลย ไปซะเถอะ”
“คุณนี่มันไร้ซึ่งมนุษยธรรมจริงๆ!”
ชีซาขมวดคิ้วเข้าหากัน เธอได้ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคด้วยความโมโห เธอลุกขึ้นยืนแล้วตะคอกออกมาว่า
“เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่ยอมต้อนรับฉัน ฉันไปก็ได้! ไม่อยากจะรบกวนเวลาอบอุ่นของคุณและภรรยานักหรอก!”
เมื่อพูดจบเธอก็ก้าวขาไปยังประตูอย่างรวดเร็วและปิดมันลงเสียงดัง “ปัง!”
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อย
“พวกคุณเป็นอะไรกันเหรอคะ?”
เจียงสื้อสื้อที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี แต่เมื่อเธอเดินออกมาก็ได้ยินเสียงประตูปิดดังปัง ในห้องอาหารก็ไม่มีแม้แต่เงาของชีซา จึงคิดว่าพวกเขาน่าจะทะเลาะกัน
“พอดีว่าเธอมีธุระครับก็เลยกลับไปก่อน” จิ้นเฟิงเฉินอธิบายแล้วลุกขึ้นยืนเดินมากุมมือเจียงสื้อสื้อและลูบไล้เบาๆ
“ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อสำรวจใบหน้าของเขาและเมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่ได้สงสัยอะไร
จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อเดินมายังห้องรับแขกและนั่งลงบนโซฟา นิ้วมือของเขาเล่นอยู่กับผมของเธอแล้วถามขึ้นว่า “คุณอยากจะทำอะไรต่อดีครับ?”
เมื่อเจียงสื้อสื้อได้ยินดังนั้น ก็นั่งคิดอย่างตั้งใจ
ก่อนหน้านี้เธอดูซีรีย์แล้วรู้สึกอิจฉาคู่รักในนั้นจริงๆที่สามารถนั่งดูหนังด้วยกันอยู่ในบ้านอย่างอบอุ่น
พอดีกับวันนี้ที่มีโอกาส
เจียงสื้อสื้อยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขา เธอเงยหน้าขึ้นมองมา สายตาอันเป็นประกายพูดว่า “ฉันอยากจะดูหนังสักเรื่องจริงๆแต่ก็ยังไม่เคยดูจบเลยคุณอยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมคะ?”
เมื่อมองเห็นท่าทางของหญิงสาว จิ้นเฟิงเฉินก็บีบจมูกเธอเบาๆแล้วพูดว่า “ได้ครับ”
จิ้นเฟิงเฉินกำชับให้คนรับใช้นำขนมและผลไม้เข้ามา จากนั้นค้นหาหนังเรื่องที่เจียงสื้อสื้ออยากดู
หลังจากที่ทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เจียงสื้อสื้อก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของเขาและดูหนังอย่างสบายอารมณ์
อาจจะเป็นเพราะว่าอ้อมอกของเขาอบอุ่นเสียจนเกินไป ในขณะที่หนังเล่นไม่ได้ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเจียงสื้อสื้อก็ผล็อยหลับ
เขาได้ยินเสียงลมหายใจอันสม่ำเสมอของเธอจึงได้ก้มหน้ามองดูด้วยแววตาทะนุถนอม
ความรักและความอบอุ่นจากดวงตาของเขาแทบจะเอ่อล้นออกมาราวสายน้ำ
หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 45 นาทีหนังก็จบลง เจียงสื้อสื้อยกมือขึ้นขยี้ตา “อืม……”
เมื่อมองเห็นฉากจบในตอนท้ายของภาพยนตร์ เจียงสื้อสื้อก็ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉินอย่างเขินอาย
เธอเป็นคนอยากจะดูหนังเองแท้ๆแต่ยังไม่ทันจะดูก็หลับเสียได้ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว
ตอนนี้เธอช่างง่วงเหลือเกิน คิ้วของเธอขมวดเข้าหากัน แล้วพูดเสียงยานกว่าเดิม มองไปแล้วดูเธอค่อนข้างจะขี้เกียจเล็กน้อย
จิ้นเฟิงเฉินเห็นท่าทางของเธอ ในใจก็รู้สึกเหมือนมีอะไรเติมเต็มความหวานจนล้น
ทั้งสองคนสวีทกันอยู่บนโซฟาสักครู่ก่อนจะกลับห้องไป
เขาใช้โอกาสที่เจียงสื้อสื้อกำลังอาบน้ำนี้เรียกให้Kingเข้ามา
เรื่องที่เขาถูกคนสะกดรอยตามจะต้องตรวจสอบออกให้เร็วที่สุดถึงจะดี
ผ่านไป 10 กว่านาที ประตูของห้องหนังสือก็ถูกเคาะและเปิดออก
Kingยืนอยู่ตรงหน้าของจิ้นเฟิงเฉินด้วยท่าทางเคารพนับถือ เขาโค้งตัวลงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เจ้านาย”
จิ้นเฟิงเฉินละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วไปมองยังKing “ช่วงนี้มีอะไรผิดปกติไปไหม?”
เมื่อKingได้ยินดังนั้นก็พูดออกมาอย่างชัดเจนทุกถ้อยคำว่า “พวกเราคนพบว่ามีคนสะกดรอยตามคุณอยู่ แล้วพวกเขาค่อนข้างที่จะแนบเนียน”
จิ้นเฟิงเฉินถามอย่างเยือกเย็นว่า “รู้ไหมว่าเป็นฝีมือใคร?”
Kingตอบตามความจริงว่า “เบอร์เกน”