ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 910 ถูกจับได้แล้ว
จิ้นเฟิงเฉินมองเจียงสื้อสื้ออย่างช่วยไม่ได้ ยังไม่เริ่มเดา ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยสองคน ยิ่งอยู่ยิ่งเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆ แด๊ดดี้โง่ๆ เดาไม่ออก……”
เทียนเถียนกำลังโค่นล้มแด๊ดดี้ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา เสี่ยวเป่าก็เข้าร่วมทีมหัวเราะเยาะแด๊ดดี้
จิ้นเฟิงเฉินฮื้มแล้วหัวเราะ “เด็กน้อยสองคน สามวันไม่โดนตี ต่อไปคงจะดื้อจนไปรื้อกระเบื้องแล้วใช่ไหม?”
เจียงสื้อสื้อหัวเราะแล้วเตือนเด็กน้อยสองคน “ได้ยินหรือยัง พวกเธอยังหัวเราะอีก แด๊ดดี้กลับมาจะตีพวกเธอแล้ว”
“หึ แด๊ดดี้อย่าตีหนู!หนูเป็นเด็กดีแน่นอน หนูไม่หัวเราะแล้ว!”
เถียนเถียนนั่งลง ซุกเข้าอ้อมกอดของเจียงสื้อสื้อ แทรกเข้ามาในจอ พูดสัญญากับจิ้นเฟิงเฉิน
เสี่ยวเป่าก็เช่ยกัน
จิ้นเฟิงเฉินหัวเราะแล้วสั่ง “ดี แด๊ดดี้จะตีพวกเธอได้ยังไง? แต่ว่า เสี่ยวเป่าและเถียนเถียนต้องเป็นเด็กดี อย่ารบกวนหม่ามี๊พักผ่อน รู้ไหม?”
“รู้แล้ว!”
เด็กน้อยสองคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ตอนที่พวกเขาดื้อก็ดื้อมาก แต่ก็เชื่อฟังเช่นกัน
จิ้นเฟิงเฉินชมพวกเขาสองสามประโยค แล้วเตือนเจียงสื้อสื้อ “ได้แล้ว สื้อสื้อ เธอก็รีบนอน รักษาร่างกายสำคัญที่สุด”
เจียงสื้อสื้อคิดไม่ถึงว่าจะวางสายเร็วขนาดนี้ มองหน้าของจิ้นเฟิงเฉินอย่างเสียดาย ยกปากขึ้น อยากพูดอะไร แต่ก็ไม่พูดออกมา
เธอรู้ จิ้นเฟิงเฉินก็ทำเพื่อสุขภาพของเธอ
สุดท้ายทำได้เพียงกดเพื่อวางสายภายใต้การจ้องมองของเขา อย่างไรก็ตามเสี่ยวเป่าและเถียนเถียนยังเป็นเด็ก หัวถึงหมอนก็นอนหลับแล้ว
ปิดไฟ ข้างหูของเจียงสื้อสื้อได้ยินเสียงหายใจของเด็กสองคน
ในหัวนึกถึงใบหน้าเมื่อกี้ของจิ้นเฟิงเฉิน นานมาก เธอก็ค่อยๆ นอนหลับ
หลังจากที่จิ้นเฟิงเฉินวางสายจากเจียงสื้อสื้อ ก็ยังไม่วางใจเล็กน้อย กดโทรหาโม่เหยียทันที
แม้จะเป็นกลางคืน แต่โทรศัพท์ไม่กี่วินาทีก็กดรับสายแล้ว หลายวันนี้โม่เหยียและหานยู่นอนดึกเพื่อทำวิจัย
จิ้นเฟิงเฉินไม่รู้ว่าขณะที่โม่เหยียกดรับโทรศัพท์ ก็สบตากับหานยู่ ท่าทางของทั้งสองดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย
จิ้นเฟิงเฉินถามอย่างตรงประเด็น “สื้อสื้อมีไข้เป็นหวัด มีผลกระทบกับร่างกายเธอมากไหม?”
มีไข้?
โม่เหยียและหานยู่ตาใหญ่สบตาเล็ก จากนั้นก็เข้าใจทันที นี่น่าจะเป็นข้ออ้างที่เจียงสื้อสื้อบอกจิ้นเฟิงเฉิน
ดังนั้น โม่เหยียพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมความรู้สึกผิดของตัวเอง ให้ความร่วมมือเจียงสื้อสื้อเป็นอย่างดี “ไม่มาก”
ก็แปลก ใครให้พวกเขาถูกเจียงสื้อสื้อข่มขู่แล้วล่ะ
ในใจของหานยู่และโม่เหยียลำบาก สองสามีภรรยา คนหนึ่งให้พวกเขาพูดความจริง อีกคนหนึ่งให้พวกเขาพูดโกหก
จิ้นเฟิงเฉินได้ยินพวกเขาพูดแบบนี้ ใจที่ห้อยอยู่ก็ปล่อยวาง พูดกำชับ “พวกเธอต้องติดตามสภาพร่างกายของเธอเสมอ ไม่ว่ามีเรื่องอะไร อย่าลืมบอกฉัน”
นึกถึงใบหน้าขาวซีดของเจียงสื้อสื้อ จิ้นเฟิงเฉินก็รู้สึกเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก
เธอห้ามีเรื่องเด็ดขาด
โม่เหยียตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ
แต่ในใจกลับเศร้ามาก เขากับคุณหญิงโกหกคุณชายด้วยกันแบบนี้ ถ้าคุณชายรู้ความจริง ต้องฉีกเขาเป็นชิ้นๆ แน่ๆ!
เช้าวันรุ่งขึ้น
จิ้นเฟิงเฉินเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ ชีซาเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีดำยาวถึงต้นขา มีความเซ็กซี่ที่แตกต่างออกไป
เธอพูดอย่างตื่นเต้น “คนของฉันตรวจพยว่าฝั่งSAกรุ๊ปคืนนี้จะขนส่งวัตถุดิบยาออกไป ฉันคิดว่าจะเคลื่อนไหวก่อนที่พวกเขาจะขนส่ง”
จิ้นเฟิงเฉินยกกาแฟขึ้นดื่มหนึ่งคำ พยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อจะเคลื่อนไหวแล้ว ก็รีบทำสิ มาที่นี่ทำไม?”
ดับไฟความกระตือรือร้นของชีซาอย่างง่ายดาย ไม่เหลือความใจดี
ชีซาฮื้มไปคำหนึ่ง จ้องมองใบหน้าเยือกเย็นของจิ้นเฟิงเฉิน อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน “คนอย่างนาย โหดเหี้ยมเกินไปหรือเปล่า? ขอถามหน่อย ตอนนี้ฉันกำลังช่วยนายไม่ใช่เหรอ นายทำร้ายหัวใจดวงน้อยๆ ของฉันเกินไปแล้วมั้ง?”
ฟังคำร้องเรียนของชีซา จิ้นเฟิงเฉินทำเหมือนไม่ได้ยิน เพียงแค่กำชับ “การเคลื่อนไหวของคืนนี้ ต้องระมัดระวัง”
การกำชับง่ายๆ แบบนี้ ก็อยากให้เธอไปเหรอ?
แต่ว่า เธอรู้ นี่คือขีดจำกัดของจิ้นเฟิงเฉินแล้ว
เธออดไม่ได้ที่จะเบะปาก “วางใจเถอะ จะมีเรื่องอะไรได้”
……
SAกรุ๊ป ห้องทำงานของประธาน
บรรยากาศตึงเครียดมาก จอห์นนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงาน ใบหน้าหมองคล้ำ ราวกับถูกเมฆดำปกคลุม
ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ จ้องมองกลุ่มเจ้าหน้าที่ห้องวิจัยในชุดขาวที่อยู่ตรงหน้า
สายตาที่เต็มไปด้วยความกดดัน ทำให้พวกเขาหายใจอย่างระมัดระวังขึ้นมา
จอห์นกดความโกรธ น้ำเสียงเย็นชาออกมาจากปาก “นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
นักวิจัยตัวสั่น อีกคนเปิดปากพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตอนเช้าขณะที่กำลังตรวจ พบว่าในตู้แช่มีเชื้อแบคทีเรียและยาบางชนิดหายไป
ตอนนั้นคิดว่าแค่รู้สึกไปเอง หลังจากตรวจสอบดีๆ ก็พบว่า หายไปจริงๆ ครับ”
คนคนนี้ก็คือหนึ่งในคนที่เข้าห้องวิจัยเมื่อคืน
จอห์นตบโต๊ะอย่างแรง มีเสียง “ปึ้ง” ดังๆ หลายคนที่อยู่ตรงหน้า ตกใจจนตัวสั่น
จอห์นโกรธ กำหมัดจนดังกรอดๆ ถามด้วยน้ำเสียงโมโห “อยู่ดีๆ จะหายได้ยังไง? เมื่อคืนมีเจ้าหน้าที่น่าสงสัยเข้าห้องวิจัยไหม?!”
เจ้าหน้าที่ที่พูดเมื่อกี้ตอบ “ไม่มีครับ เมื่อคืนมีแค่ผมและชอว์นเข้าไปดูแบคทีเรียที่กำลังปลูก
อีกอย่าง เข้าห้องวิจัยต้องสแกนนิ้วและสแกนใบหน้า ถ้ามีเจ้าหน้าที่น่าสงสัยเข้าไป เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ทราบ อาจจะเป็นช่วงเวรบ่ายเมื่อวาน……”
เขาไม่ได้พูดจบ แต่ความหมายก็ชัดเจนมาก
อย่างไรก็ตาม เขากับชอว์นแค่เข้าไปดู ไม่ได้อยู่ต่อหรือนับจำนวน มีความเป็นไปได้ที่มีปัญหาตั้งแต่เวรบ่ายแล้ว
เห็นได้ชัดว่าจอห์นก็นึกถึงสิ่งนี้แล้ว จึงพูด “ให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรบ่ายที่เข้าไปในห้องวิจัยเมื่อวานเข้ามาให้หมด”
ยังไง คนที่เข้าออกห้องวิจัยห้องนั้นก็มีเท่านี้ ถามและตัดออกทีละคน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธี
เจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรบ่ายของเมื่อวานมาเร็วมาก ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
“เมื่อวานพวกนายสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรหรือเปล่า?”
กับคนในห้องวิจัย จอห์นยังเชื่อใจมาก
แต่ว่า ไม่ตัดคนอื่นๆ ที่เข้ามา
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเวรบ่ายตอบอย่างตั้งใจ “เมื่อวานตอนที่เราเลิกงาน นับยาและแบคทีเรียแล้วไม่มีอะไรหายครับ”
เขาพูดแบบนี้ ข้างๆ ก็มีหลายคนออกเสียง “ใช่ครับ ผมเป็นพยานได้ ตอนนั้นผมก็นับด้วยกันครับ”
“ผมก็อยู่ข้างๆ ครับ……”
……
คำพูดที่หลายคนพูด ล้วนเหมือนกันหมด
พูดแบบนี้ ไม่น่าจะใช่เจ้าหน้าที่เวรบ่ายทำผิดพลาด
แต่ว่า ความสงสัยนี้เป็นข่าวที่ร้ายที่สุด ไม่ใช่คนในแผนกทำ งั้นก็เป็นคนนอกแผนก?
นึกถึงความเป็นไปได้นี้ จอห์นโมโหจนขว้างแก้วชาบนโต๊ะจนแตก ใบหน้าเปลี่ยนสี
เขาหงุดหงิด ตะคอกใส่พวกเขา “พวกนายรู้หรือไหมว่าต้องใช้เวลาและพลังงานเท่าไรในการวิจัยเชื้อแบคทีเรีย?!”