ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 923 ปฏิบัติการคืนนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนที่นอนด้วยกันวิ่งไปยังห้องของจิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อ
“หม่ามี๊”
เมื่อวานไม่ได้เจอเจียงสื้อสื้อทั้งวันเด็กทั้งสองจึงต่างคิดถึงแม่
พวกเขาวิ่งตรงไปหาเจียงสื้อสื้อที่ยังนอนอยู่บนเตียง
เมื่อเห็นดังนั้นจิ้นเฟิงเฉินจึงรีบห้ามพวกเขา “หม่ามี๊ไม่สบาย พวกลูกอย่ารบกวนเธอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสี่ยวเป่าก็หยุดยืนอยู่กับที่ทันที
เถียนเถียนโผล่หัวออกมาจากอ้อมแขนของจิ้นเฟิงเฉิน คู่ดวงตากลมโตเหมือนองุ่นมองไปยังเจียงสื้อสื้อ ดวงตามีแต่คำว่าสงสัย “หม่ามี๊เป็นอะไรคะ”
“เถียนเถียนเด็กดี หม่ามี๊แค่ไม่สบายนิดหน่อย อีกไม่นานก็จะดีขึ้น”
จิ้นเฟิงเฉินลูบศีรษะเด็กทั้งสองด้วยความรัก
เด็กทั้งสองเดินไปข้างเตียง ใบหน้าเล็กของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความกังวล เถียนเถียนยืนเขย่งปลายเท้าเอื้อมมือไปที่หน้าผากของเจียงสื้อสื้อ
หลังจากนั้นก็ส่งเสียงนุ่มนิ่มออกมาว่า “ไม่ร้อน หม่ามี๊ไม่มีไข้ค่ะ”
เห็นเธอเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ เจียงสื้อสื้อก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ จึงเอื้อมมือไปบีบแก้มของเธอเบาๆ “จ้ะ หม่ามี๊ไม่มีไข้”
“งั้นหม่ามี๊ไม่สบายตรงไหนคะ เถียนเถียนจะช่วยเป่าเพี้ยงเพี้ยงให้หายเลย”
“ขอบใจจ้ะ แต่หม่ามี๊ไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะ”
เจียงสื้อสื้อลูบศีรษะของเธอไปด้วยในขณะที่หันไปมองลูกชาย
ถึงแม้เสี่ยวเป่าจะยังเด็ก แต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผลมากกว่าเถียนเถียน เขามองเธอตรงๆ ใบหน้าเล็กและดวงตาอ่อนเยาว์เป็นกังวล
เจียงสื้อสื้อใจเต้นแรงเล็กน้อย เธอกดริมฝีปากยิ้มอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเป่าลูก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หม่ามี๊ไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่…”
เสี่ยวเป่าอยากบอกว่าใบหน้าของเธอดูซีดกว่าปกติ แต่ฉับพลันก็ทำท่าเหมือนไม่มีอะไร
“เสี่ยวเป่า ลูกพาน้องลงไปทานอาหารข้างล่างไป ให้หม่ามี๊ของลูกได้นอนพักอีกหน่อยนะ”
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามา แล้วก้มลงไปมองหน้ากันกับเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ครับ”
“เถียนเถียน เราลงไปข้างล่างกันเถอะ”
เสี่ยวเป่าจูงเถียนเถียนไปทางประตู
มองดูเด็กสองคนออกไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็หุบยิ้ม ในดวงตามีร่องรอยความรู้สึกผิด
“แม้แต่ลูกก็เป็นห่วงฉัน ฉันมันไร้ประโยชน์จริงๆ” เธอยกยิ้มมุมปากเยาะเย้ย
จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วพร้อมกับดุเสียงต่ำ “ผมไม่อยากให้คุณโทษตัวเองแบบนั้น”
ที่เธอกลายเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่เป็นเขาที่ปกป้องเธอไม่ดี
เห็นว่าเขาเหมือนจะโกรธ เจียงสื้อสื้อจึงยิ้มอย่างทนไม่ไหว “ได้ ฉันไม่พูดแล้ว คุณก็อย่าโกรธเลยนะ”
“ผมไม่ได้โกรธ”
จิ้นเฟิงเฉินมองดูเวลา แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณนอนหลับอีกหน่อยนะ ผมจะให้แม่บ้านนำอาหารเช้าขึ้นมาให้”
เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังจะออกไป
“เฟิงเฉิน” เจียงสื้อสื้อรีบจับมือเขาไว้
จิ้นเฟิงเฉินหันหน้ามา “มีอะไรเหรอ”
เจียงสื้อสื้อลุกขึ้นนั่งบนเตียงและยิ้มเล็กน้อย “ฉันจะลงไปทานข้างล่าง ฉันยังไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินลงไปข้างล่างไม่ได้”
ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ต้องการให้ครอบครัวกังวลเกี่ยวกับตัวเองมากเกินไป
“ได้เหรอ” จิ้นเฟิงเฉินถาม
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก เขามองดูเธอลงจากเตียงเอง เดินเข้าห้องน้ำแล้วไปอาบน้ำด้วยตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่เขาไม่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
เขารู้ว่าเมื่อเธอบอกว่าได้ก็แปลว่าได้แน่นอน
หลังจากอาหารเช้า จิ้นเฟิงเฉินก็ไม่ได้ไปทำงาน แต่อยู่บ้านเป็นเพื่อนเจียงสื้อสื้อ
บริษัทมีจิ้นเฟิงเหราคอยดูแลสั่งการ เขาจะไปหรือไม่ก็ได้
ใช้ประโยชน์ในช่วงที่แม่กับเจียงสื้อสื้อพูดคุยกัน เขาขึ้นไปข้างบนห้องหนังสือเพื่อติดต่อกับเห้อซูหานที่อยู่ต่างประเทศ
“คุณชาย”
เสียงของเห้อซูหานดังมาจากปลายสายโทรศัพท์มือถือ จิ้นเฟิงเฉินเดินไปตรงหน้าต่าง พอดีกับที่เห็นแม่และสื้อสื้อเดินออกมา คิ้วที่กำลังขมวดอย่างเครียดขึงพลันคลายออก
ผ่านไปนานก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ เห้อซูหานจึงถามหยั่งเชิงว่า “คุณชาย คุณอยู่หรือเปล่าคะ”
จิ้นเฟิงเฉินได้สติกลับมา ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ “ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
“เบอร์เกนยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ฉันจะจับตาดูต่อไปค่ะ ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวฉันจะบอกคุณทันที”
“ทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายสถาบันวิจัยของเบอร์เกนให้ได้”
จิ้นเฟิงเฉินหยุดไปครู่หนึ่ง “ถ้าเป็นไปได้ เอายาที่กำลังวิจัยและพัฒนาของสถาบันวิจัยกลับมาด้วย”
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณวางใจได้ค่ะที่ต่างประเทศมีการวางกำลังอย่างดีแล้ว จะปฏิบัติการคืนนี้”
……
“สื้อสื้อ หนูนั่งสิ”
แม่จิ้นจูงเจียงสื้อสื้อไปนั่งลงที่ม้าหิน เธอมองไปรอบๆ จนสุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่กับเจียงสื้อสื้อที่ข้างแก้มยังค่อนข้างซีดอยู่ แล้วจึงถามอย่างปวดใจว่า “เด็กคนนี้นี่ไม่สบายทำไมไม่บอกฉันล่ะจ๊ะ”
เมื่อสองวันก่อนเธอรู้สึกว่าเจียงสื้อสื้อเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้าเธอรู้ก่อนว่าสื้อสื้อไม่สบาย จะดูแลเธอให้ดีมากกว่าเดิม
แม่จิ้นหน้าตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ในใจเจียงสื้อสื้อค่อนข้างเกิดความรู้สึกไม่ดี
“คุณแม่คะ” เธอจับสองมือของแม่จิ้น พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “คุณอย่าโทษตัวเอง ฉันไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“เธอไม่ต้องมาปลอบใจฉันเลย” แม่จิ้นตบมือของเธอ แล้วถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันรู้ว่าเธอกับเฟิงเฉินไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วง ถึงได้บอกว่าเธอเป็นแค่โรคกระเพาะ”
“คุณแม่…” เจียงสื้อสื้อคิดไม่ถึงว่าเธอจะเห็นการปกปิดของพวกเขาได้
“ไม่ต้องพูดแล้ว” แม่จิ้นห้ามเธอพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้โทษพวกเธอ ฉันแค่อยากบอกว่าฉันกับพ่อของเธอและเฟิงเหราล้วนอยู่ตรงนี้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ใช่เหรอ”
“คุณแม่” เจียงสื้อสื้อดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาเกือบจะไหลออกมา
เธอรีบสูดจมูก กลั้นน้ำตาและฉีกยิ้ม “คุณแม่ ฉันรู้ค่ะ”
ก็เพราะว่าเป็นครอบครัว เธอถึงไม่อยากให้พวกเขากังวลและทำให้พวกเขารู้สึกกลัวอกสั่นขวัญแขวน
“รู้ก็ดีแล้วจ้ะ” แม่จิ้นเผยรอยยิ้มที่สบายใจขึ้น
ทั้งคู่นั่งอยู่ในสวนดอกไม้สักพักก่อนจะเข้าบ้าน
“ฉันให้ห้องครัวทำซุปปลาไว้ เดี๋ยวอีกสักพักเธอดื่มสักหน่อยนะจ๊ะ”
เมื่อคืนได้รู้สถานการณ์ของเธอ ตั้งแต่เช้าตรู่แม่จิ้นจึงได้สั่งให้ห้องครัวเตรียมสิ่งนี้เอาไว้ให้พร้อม เพราะอยากดูแลรักษาร่างกายของเธอให้หายดีในเร็ววัน
เจียงสื้อสื้อยิ้มพลางพยักหน้า “ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อกลับไปพักผ่อนที่ห้อง เพิ่งนอนลง จิ้นเฟิงเฉินก็เดินเข้ามา
ทันทีที่เห็นเธอนอนอยู่ จึงก้าวเดินไปที่ข้างเตียงทันที แล้วถามอย่างตึงเครียดว่า “ไม่สบายตรงไหน”
เห็นท่าทางตึงเครียดของเขา เจียงสื้อสื้อก็หัวเราะพรืดออกมา “คุณอย่าเครียด ฉันเพียงแต่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น อยากนอนเฉยๆ”
ที่แท้เป็นแบบนี้
จิ้นเฟิงเฉินจึงถอนหายใจโล่งอก
“คุณไม่ไปทำงานได้เหรอ” สื้อสื้อถามอย่างสงสัยเล็กน้อย
เธอรู้ว่าเฟิงเฉินไม่วางใจในตัวเธอ อยากอยู่กับตัวเธอให้มากขึ้น แต่ความรู้สึกแบบนี้มันมีผลต่อการทำงานของเขามาก จึงค่อนข้างรู้สึกเสียใจ
“ผมเป็นเจ้านายตัวเอง ทำไมจะไม่ได้”
เจียงสื้อสื้อ “……….”
เขาช่างพูดเหตุผลเอาแต่ใจจริงๆ
“ฉันเห็นใจเฟิงเหราจัง” เจียงสื้อสื้อเบะปาก
ถ้าไม่ได้เฟิงเหราคอยช่วยเขาจะต้องแบกภาระหนัก เฟิงเฉินก็ไม่สามารถขาดงานมาอยู่เป็นเพื่อนเธอได้ตามอำเภอใจ
“เขาจะได้รับการชดเชยในภายหลัง”
จิ้นเฟิงเฉินสัมผัสมือที่ค่อนข้างเย็นของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ทำไมมือเย็นขนาดนี้”
ตอนนี้อากาศยังร้อนอยู่เล็กน้อย แต่มือของเธอกลับเย็นเฉียบ
“อาจจะอยู่ข้างนอกนานเกินไป” เจียงสื้อสื้อลูบมือตัวเอง มันเย็นจริงด้วย
“หนาวไหม” จิ้นเฟิงเฉินถาม
เจียงสื้อสื้อขำเล็กน้อย “อากาศแบบนี้ ฉันจะหนาวได้ยังไง”
จิ้นเฟิงเฉินตระหนักได้ว่าตัวเองอาจจะเครียดเกินไป จึงยิ้มอย่างหมดหนทาง “คุณพักผ่อนเถอะ ผมจะไปห้องหนังสือ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกผมนะ”
“ได้ค่ะ”