ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 928 คุณโกรธเหรอ
“คุณชาย เบอร์เกนเริ่มแอบสืบSAกรุ๊ปแล้วครับ”
กู้เนี่ยนตื่นเต้นจนลืมเคาะประตู ผลักประตูเปิดแล้วเดินเข้ามาเลย
จิ้นเฟิงเฉินเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
“คุณชาย อุบายของคุณร้ายกาจจริงๆ ครับ” เมื่อกู้เนี่ยนนึกถึงว่าจะได้เห็นฉากหมากัดกัน ใจเขาก็ตื่นเต้นจนควบคุมไม่อยู่
ใครให้เบอร์เกนเลวมาก อยู่ดีๆ ก็ค้นคว้าไวรัสแบบนั้นออกมา ถึงขนาดต้องการใช้ไวรัสเพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาล
“ฉันทำอะไร” จิ้นเฟิงเฉินวางเอกสารในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง
กู้เนี่ยนชะงักไป “เอ่อคือ…คือ…”
ภายใต้สายตาสงบนิ่งของเขา กู้เนี่ยนรู้สึกได้ถึงความกดขี่ โชคดีที่เขาฉลาดพอ มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที จึงเปลี่ยนคำพูด “ไม่ใช่ครับ คุณชายไม่ได้ทำอะไรเลย”
จิ้นเฟิงเฉินก้มหน้าลง “ต่อไปโฟกัสให้ตรงจุด”
“ครับ”
กู้เนียนเดินเข้าไป “คุณชาย พิเอร์สติดต่อผมมา อยากให้เราขายสมุนไพรให้SAกรุ๊ปครับ”
“นายตอบกลับไปว่ายังไง”
“ผมตอบเขาตามที่คุณบอกครับ”
จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“แต่ความหมายของเขาคือSAกรุ๊ปยินดีเพิ่มราคาครับ”
“เวลาที่ติดต่อกับเขา ยังไม่ต้องพูดจาเด็ดขาด”
ก่อนที่เรื่องราวยังไม่ไปไกลกว่านี้ SAกรุ๊ปยังมีประโยชน์กับพวกเขา
“ทราบแล้วครับ” กู้เนี่ยนเข้าใจความหมายของเขา
……
หลังจากแม่ฝู้ไปแล้ว เจียงสื้อสื้อก็หลับพักผ่อนไปครู่เดียว เพราะรู้สึกอึดอัดไม่ค่อยสบายตัว
ดังนั้นเธอจึงไปหาแม่จิ้นที่สวนดอกไม้หลังบ้าน
แม่จิ้นกำลังรดน้ำดอกไม้ เมื่อเห็นเธอมา คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย “ทำไมหนูไม่นอนพักในห้องล่ะ”
“เบื่อนิดหน่อยค่ะ”
เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไปยกเหยือกน้ำขึ้น ศึกษาจากการรดน้ำดอกไม้ของแม่จิ้นเมื่อครู่
“หนูรีบวางลงเลย แค่ดูอยู่เฉยๆ ก็พอแล้ว” แม่จิ้นท่าทีตึงเครียดเอาเหยือกน้ำในมือของเธอมา
เจียงสื้อสื้อหัวเราะอย่างหมดหนทาง “คุณแม่คะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะคะ ยังรดน้ำดอกไม้ได้ค่ะ”
เห็นเธอยืนกรานอย่างนั้น แม่จิ้นจึงได้แต่ตามใจเธอ “งั้นหนูต้องระวังนะ”
“ค่ะ”
เจียงสื้อสื้อรดน้ำดอกไม้เงียบๆ งดงามราวกับดอกไม้เบ่งบานในสวน
หลังจากรดน้ำดอกไม้ แม่จิ้นกับเจียงสื้อสื้อก็ไปนั่งลงที่ม้าหินข้างๆ
แม่จิ้นมองดูดอกไม้ที่ตัวเองปลูกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “รอชาดอกไม้ใหม่ด้านหลังพร้อมแล้ว หนูส่งไปให้แม่ฝู้หน่อยนะ เธอชอบมันมาก”
“ได้ค่ะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “คุณแม่คงจะดีใจมากแน่เลย ฉันขอบคุณแทนท่านด้วยนะคะ”
“เด็กโง่ ไม่ต้องขอบคุณหรอกจ้ะ” แม่จิ้นหันไปมองเธออย่างรักใคร่ “ตระกูลจิ้นของเราสิถึงต้องขอบคุณเธอ ขอบคุณตระกูลฝู้ ถ้าไม่ใช่พวกเขาช่วยหนูกับเถียนเถียนเอาไว้ ตระกูลจิ้นก็จะไม่ได้มีลูกสะใภ้ที่ดีอย่างหนูและหลานสาวที่น่ารักน่าเอ็นดู”
เมื่อได้ฟังดังนั้นเจียงสื้อสื้อก็ก้มหน้ายิ้ม “ฉันก็รู้สึกขอบคุณพวกเขามากเหมือนกันค่ะ”
ความเมตตานี้กลัวว่าชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันได้ตอบแทน โดยเฉพาะกับฝู้จิงเหวิน
“ในอนาคตยังมีโอกาสให้คนในครอบครัวของพวกเขาทั้งหมดมาสังสรรค์ด้วยกัน สองครอบครัวหลังจากนี้สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กันได้” แม่จิ้นแนะนำ
เจียงสื้อสื้อมองแม่จิ้น รู้สึกว่าทั้งหัวใจอ่อนแอ แม้แต่สายตาก็ยังอ่อนโยน “คุณแม่คะ ขอบคุณคุณมากนะคะ”
แม่จิ้นรักเธอมาก ถึงได้คิดแบบนี้
“เด็กโง่ ขอบคุณอีกแล้ว” แม่จิ้นจ้องเธออย่างโกรธๆ
“ฉันจะพูดค่ะ” เจียงสื้อสื้อที่ไม่ค่อยทำตัวเป็นเด็ก เธอเอนศีรษะซบไหล่แม่จิ้น เพลิดเพลินกับความอบอุ่นที่หายากนี้
แม่จิ้นลูบมือของเธอแผ่วเบา พลางยิ้มอย่างอ่อนโยน
จิ้นเฟิงเฉินกลับมาบ้านแล้วไม่เห็นเจียงสื้อสื้อ คิดว่าเธอเกิดเรื่องอีก ตอนที่กำลังจะต่อสายโทรออก หางตาก็เหลือบไปเห็นเธอกับแม่เดินออกมาจากสวนดอกไม้ด้านหลัง
“สื้อสื้อ” เขารีบเดินเข้าไปหา
“ทำไมคุณกลับมาแล้วล่ะ” เจียงสื้อสื้อแปลกใจมาก ถึงเวลาเลิกงานของเขาแล้วเหรอ
จิ้นเฟิงเฉินไม่ตอบคำถาม “คุณเป็นยังไงบ้าง”
เจียงสื้อสื้อชะงักไป “ฉันสบายดีค่ะ”
เห็นเขาถอนหายใจโล่งอกหลังจากได้ยินคำตอบของเธอ เจียงสื้อสื้อจึงอดหัวเราะไม่ได้ “คุณกังวลเกินไปแล้ว ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
แม่จิ้นเองก็ล้ออย่างอดไม่ไหว “แกเครียดเกินไปจริงๆ นั่นแหละ เมื่อครู่เธอมารดน้ำดอกไม้เป็นเพื่อนฉัน สุขภาพร่างกายดีขึ้นกว่าหลายวันก่อนมากแล้วจริงๆ”
จิ้นเฟิงเฉินรู้ว่าตัวเองเครียดเกินไป แต่เขาจะเครียดมันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะไวรัสในร่างกายสื้อสื้อยังไม่ถูกกำจัด มันสามารถกำเริบได้ตลอดเวลา
“ความจริงคุณไม่ต้องกลับมาอยู่เป็นเพื่อนฉันก็ได้ คุณพ่อคุณแม่ก็อยู่บ้านกันหมด”
เจียงสื้อสื้อไม่อยากส่งผลกระทบต่องานของเขา
“แกวางใจเถอะ ฉันจะดูแลสื้อสื้ออย่างดี” แม่จิ้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
จิ้นเฟิงเฉินพูดคุยกับแม่จิ้นอีกไม่กี่คำ จากนั้นก็พาเจียงสื้อสื้อกลับขึ้นไปบนห้อง
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นะเฟิงเฉิน”
ทันทีที่เข้ามาในห้อง เจียงสื้อสื้อก็ถูกขอร้องให้นอนพัก สิ่งนี้ทำให้เธอร้องไห้ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออก
“คุณทานยาแล้วดีขึ้นเล็กน้อยก็จริง แต่ยังต้องใส่ใจการพักผ่อน ถ้าคุณเหนื่อยล้าเกินไป ภูมิต้านทานจะลดลง แล้วมันจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง”
ไม่ใช่ว่าจิ้นเฟิงเฉินจะกระต่ายตื่นตูม แต่เป็นเพราะโม่เหยียเตือนเขามาโดยเฉพาะ
“โอเคค่ะ” เจียงสื้อสื้อนอนลงอย่างเชื่อฟัง
บริเวณโดยรอบเงียบลง จิ้นเฟิงเฉินห่มผ้าให้เธอ จากนั้นจึงหยิบคอมพิวเตอร์ไปนั่งที่โซฟาใกล้ๆ
เจียงสื้อสื้อมองเขา คิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนจะถามหยั่งเชิงว่า “เฟิงเฉิน คุณได้ข่าวของจิงเหวินบ้างหรือเปล่า”
เธอรู้ว่าจิ้นเฟิงเฉินให้เห้อซูหานอยู่ในอิตาลีเพื่อตามสืบเรื่องไวรัส
——–“สื้อสื้อ ถ้าหนูสามารถติดต่อจิงเหวินได้ ช่วยฉันพูดกับเขาหน่อยนะ ให้เขากลับบ้าน ฉันกับคุณพ่อของเขาคิดถึงเขาแล้ว”
นี่คือสิ่งที่แม่ฝู้พูดกับเธอไว้ก่อนไป
เป็นเพราะเธอฝู้จิงเหวินถึงไม่ได้กลับบ้าน ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของแม่ฝู้ หัวใจเธอจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ตอนนี้ฝู้จิงเหวินคงเป็นนักวิจัยยาชั้นนำไปแล้ว
สุดท้ายแล้วเธอก็ติดหนี้ตระกูลฝู้
จิ้นเฟิงเฉินเงยหน้าขึ้นมอง ความรู้สึกผิดและการโทษตัวเองในสีหน้าของเธออยู่ในสายตาของเขา
คิ้วคมอดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้น บอกตามตรงว่าเขาไม่ชอบที่เจียงสื้อสื้อมักจะรู้สึกว่าตัวเองติดหนี้ตระกูลฝู้
ไม่ผิดที่ตระกูลฝู้ช่วยเหลือเธอไว้ในเวลาที่เธอลำบาก แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว ตอนนี้ที่ชีวิตของเธอได้รับการคุกคามก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ฝู้จิงเหวินสร้างปัญหาให้
“ผมไม่มีข่าวของเขา”
เสียงของเขาเย็นชาผสมกับร่องรอยของความไม่พอใจ
เจียงสื้อสื้อฟังออก “คุณโกรธเหรอ”
“เปล่า” ตอบกลับรวดเร็วมาก
เจียงสื้อสื้อพึมพำเบาๆ “น้ำเสียงไม่ดีขนาดนั้นยังบอกว่าไม่ได้โกรธอีก”
ก็ไม่รู้ว่าได้ยินคำพูดของเธอหรือเปล่า จิ้นเฟิงเฉินจึงพูดว่า “ฝู้จิงเหวินโตแล้ว เขาต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ”
ความหมายโดยนัยคือให้เธอหยุดเป็นห่วงฝู้จิงเหวินได้แล้ว
“ไม่ใช่ว่าฉันเป็นห่วงเขา” เจียงสื้อสื้อเบะปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ตระกูลฝู้จริงใจต่อฉันกับเถียนเถียน ฝู้จิงเหวินเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลฝู้”
จิ้นเฟิงเฉินเงียบ
เจียงสื้อสื้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบฝู้จิงเหวิน แต่เขาก็กำลังพยายามชดเชยความผิดอยู่”
“ผมจะให้เห้อซูหานจับตาดูอย่างใกล้ชิด ถ้ามีข่าวแล้วจะบอกคุณ”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มอย่างมีความสุขทันที “เฟิงเฉิน คุณใจดีจัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินที่หน้าตาเย็นชาก็พลันเกิดรอยยิ้มเล็กน้อย
ตราบใดที่เธอมีความสุขก็พอแล้ว