ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 954 หลงใหลในตัวคุณแล้ว
ตอนที่พวกของเจียงสื้อสื้อมาถึงโรงพยาบาลนั้น คุณหมอก็ได้ตรวจร่างกายให้กับคุณท่านฟางตามปกติ ส่วนฟางเสว่มั่นยืนมองอยู่ข้างๆ
พวกเขาเป็นห่วงอาการของคุณท่านฟาง และก็ยังเอากล่องรักษาอุณหภูมิวางลงบนโต๊ะกลาง เพื่อให้ฟางเสว่มั่นได้กินให้มากๆ เพื่อจะได้บำรุงร่างกาย
ฟางเสว่มั่นพยักหน้าตกลง
ซ่างหยิงเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี ก็เลยคุยกับฟางเสว่มั่นเป็นการส่วนตัว เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินเดินออกไปเอง เพื่อไปเดินเล่นกันที่สวนดอกไม้ที่อยู่ใต้ตึก
เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินประสานมือกันไว้แน่น จากนั้นเธอก็หันไปถาม “พี่ชายของฉันไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ไม่นะ”
“โกหกฉันนี่”
เจียงสื้อสื้อหรี่ตาลง “การที่เขาให้คุณไปที่ฟางซื่อ ต้องมีเรื่องแน่นอน”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มให้ “คุณคิดมากไปแล้ว ไม่มีเรื่องจริงๆ ก็แค่คุยกันเรื่องความร่วมมือระหว่างสองบริษัทเท่านั้นเอง”
“จริงเหรอ? คุณห้ามโกหกฉันนะ”
“อื้อ ไม่ได้โกหกคุณเลย” จิ้นเฟิงเฉินโอบไหล่ของเธอเอาไว้ จากนั้นก็ก้มตัวลง พลางกระซิบข้างหู “แต่ว่าก็มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นนะ”
“เรื่องอะไร?” เจียงสื้อสื้อหันไปหา เธอมองเข้าไปในนัยน์ตาดำขลับถลำลึกของเขาโดยบังเอิญ
ถ้าไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันมานานแล้ว คงอดหวั่นไหวไม่ได้
เธอหน้าแดงแจ๋ พร้อมทั้งรีบละสายตาอย่างกระวนกระวายใจ เขินอายจนถึงขั้นพูดติดอ่าง “จะพูดก็พูดมาเลยสิ ทำไมต้องเขยิบมาซะใกล้กันขนาดนี้ด้วย?”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คืนพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงการกุศล ยู่เฉินอยากจะให้พวกเราไปด้วย”
“งานเลี้ยง?” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว
พูดตามความเป็นจริงแล้ว งานเลี้ยงระดับคนชนชั้นสูง เธอนั้นไม่ชอบจริงๆ
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ขนาดพูดจากัน ต่างก็ใส่หน้ากากกันอีกชั้นทั้งนั้นแหละ ไม่มีความจริงใจต่อกันเลยสักนิด
“ไม่ไปได้ไหม?” เจียงสื้อสื้อถามกลับอย่างระมัดระวัง
“ได้สิ ผมตามใจคุณเลย” จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า เขาก็เดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอไม่อยากไป
เมื่อได้ยินว่าไม่ไปก็ได้ เจียงสื้อสื้อก็ถอนหายใจทันที “งั้นดีเลย”
“ความหมายของยู่เชินคือต้องการจะแนะนำฐานะของคุณในงานเลี้ยง”
“ห๊ะ?”เจียงสื้อสื้อคิดไม่ถึงมีจะมีเรื่องนี้ด้วย
“เขารู้ว่าคุณเป็นคนของตระกูลฟาง ก็ควรจะให้ทุกคนรู้ถึงฐานะของคุณด้วย”
เจียงสื้อสื้อทำหน้าไม่ถูกจะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะร้องไห้ก็ไม่ได้ “ความจริงแล้วคนอื่นจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่มีอะไรนี่ ฉันก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงบ่อยๆ สักหน่อย”
แม้ว่าเธอจะพูดเช่นนี้ก็ตาม แต่ยังคิดออกมาอย่างจริงจัง
ถ้าเธอไม่ไปจะทำให้ฟางยู่เชินผิดหวังหรือเปล่านะ?
แต่ถ้าไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ชอบสถานการณ์อย่างนั้นนี่
ตอนที่เธอกำลังลังเลตัดสินใจไม่ได้อยู่นั้น จิ้นเฟิงเฉินก็พูดออกมา “ไม่ไปก็ไม่ต้องบีบบังคับ ยู่เชินเข้าใจดี”
เจียงสื้อสื้อสูดลมหายใจเข้า “ไป พวกเราจะไปด้วยกัน”
ตอนนี้ฟางยู่เชินเพิ่งจะเข้ามาสืบทอดกิจการของฟางซื่อ โลกภายนอกคงมีคนไม่น้อยที่รอคอยหัวเราะเยาะเขาอยู่ ถ้าเฟิงเฉินสามารถปรากฏตัวพร้อมกับเขาในงานในเวลานั้นได้ การทำเช่นนี้คงช่วยเขาได้ไม่น้อยแหละ
“ไม่ได้บีบบังคับตัวเองใช่ไหม?” จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองเธอ
เขาไม่หวังว่าเธอจะบีบบังคับในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเพื่อคนอื่น
เจียงสื้อสื้อมองออกถึงความคิดที่อยู่ในใจของเขา พร้อมทั้งส่ายหน้าและยิ้มให้ “ไม่ได้บีบบังคับ”
จิ้นเฟิงเฉินยังคงไม่เชื่ออยู่ดี
“ฉันไม่ได้บีบบังคับตัวเองจริงๆ ” เจียงสื้อสื้อกุมมือของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ทิ้งตัวลง นิ้วมือประสานกันอย่างแนบชิด เธอหันศีรษะกลับไป พร้อมทั้งยิ้มตอนที่มองมาหาผู้ชายที่อยู่ข้างๆ “อยู่กับคุณ ไม่มีเรื่องไหนที่ต้องบีบบังคับเลย”
“ดี”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้มออกจนได้ จากนั้นก็ใช้แรงที่มือ พร้อมทั้งลากเธอเข้าสู่อ้อมกอด “งั้นผมจะไปบอกกับยู่เชิน”
เจียงสื้อสื้อแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเขา พลางส่งเสียงอย่างแผ่วเบา “อื้อ”
หลังจากที่รู้ว่าเจียงสื้อสื้อจะมาร่วมงานเลี้ยงการกุศลแล้ว ก่อนวันงานเลี้ยงซ่างหยิงก็พาตัวเธอมายังสตูดิโอแต่งตัวที่ปกติตนเองชอบไปอยู่บ่อยๆ
“น้าสะใภ้เล็ก มันก็แค่งานเลี้ยงเท่านั้นเอง…” เจียงสื้อสื้อยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกพนักงานดันให้เข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว
ซ่างหยิงแกล้งทำเป็นไม่พอใจจนพูดออกมา “คุณเป็นคนในตระกูลฟาง ไม่ได้พูดว่าให้ตกเป็นเป้าสายตาของทั้งงาน แต่ก็ไม่สามารถแพ้แก่คนอื่นได้มั้ง”
มุมปากของเจียงสื้อสื้อกระตุกขึ้น เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรขึ้นมาดี
หลังจากที่เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ที่โดนคนนั้นทำนู่นทำนี่โยนไปโยนมาไม่หยุด จนเจียงสื้อสื้อก็หมดความรู้สึกหมดอารมณ์ลง สีหน้าที่แสดงว่าชีวิตหมดความหมายใดๆ จนยอมให้คนอื่นจัดการแต่โดยดี
เวลาสองชั่วโมงเต็ม จนทำให้เจียงสื้อสื้อเกือบจะหลับอยู่แล้ว ช่างแต่งหน้าก็พูดออกมาคำหนึ่ง “เสร็จแล้ว” จนทำให้เธอตื่นขึ้นมา
“เสร็จแล้วเหรอ…..” เจียงสื้อสื้อกะพริบตา ตอนที่สายตาของตนเองจ้องมองตัวเองผ่านกระจกนั้น จนดวงตาถึงกับเบิกโตทันที
นั่น…คือเธอเหรอ?
เส้นผมยาวถูกมัดเป็นทรงหางม้าสูง ด้านข้างปล่อยเส้นผมไม่กี่เส้นเพื่อพลิ้วไสวเล็กน้อย คิ้วโก่งเป็นคันศร ขนตาที่โค้งจนงอนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างช่างดูสดใสเป็นประกาย ด้านล่างสันจมูกอันโด่งเชิด มีริมฝีปากสีแดงอันอวบอิ่มงดงามสะดุดตา
ชุดเดรสสีดำขลับและรัดตัวยิ่งขับผิวพรรณของเธอ ให้ผิวขาวเกลี้ยงเกลา ตอนที่เธอลุกขึ้นยืน และหมุนตัวไปรอบหนึ่ง ตอนที่เห็นบริเวณด้านหลังเปลือยเปล่าอยู่นั้น ถึงกลับตกใจเล็กน้อย
“เอ่อ…นี่มันโป๊เกินไปหรือเปล่า?” เธอมองช่างแต่งหน้าอย่างลำบากใจ
“ไม่นะ กระดูกสะบักของคุณสวยมากขนาดนี้ ไม่เอาออกมาให้เห็นมันช่างน่าเสียดายมาก” ช่างแต่งหน้ามองเธอเหมือนว่ากำลังมองผลงานของตนเอง ด้วยสีหน้าที่พอใจอยู่เช่นนี้
“แต่ว่า …..” เจียงสื้อสื้อรู้สึกว่าถ้าเธอแต่งตัวแบบนี้ไปงานเลี้ยงคืนนี้ คงต้องไปยั่วให้จิ้นเฟิงเฉินโกรธแน่ๆ
เธอมองบริเวณรอบๆ ก็เห็นมีผ้าคลุมไหลชิ้นหนึ่งอยู่ตรงมุมห้อง
“ช่วยหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นมาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?” เจียงสื้อสื้อถาม
ช่างแต่งหน้ามองอยู่สักพัก จนต้องขมวดคิ้วขึ้น “นี่คุณยังจะคลุมไหล่เหรอ?”
“หนาว” เจียงสื้อสื้อยิ้มให้อย่างประหม่า
ช่างแต่งหน้ายังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ว่าเห็นมือห่อไหล่ท่าทางเย็นมาก จึงได้หยิบผ้าคลุมไหล่ให้เธออย่างเบื่อหน่าย
“ขอบคุณค่ะ”
เจียงสื้อสื้อรีบพันทันที พร้อมทั้งถอนหายใจยาว แค่นี้เธอก็สบายใจได้เยอะแล้ว
ซ่างหยิงรออยู่ด้านนอก ตอนที่เจียงสื้อสื้อเดินออกมานั้น ตกใจจนตาโตทันที
“สื้อสื้อ นี่คุณ…”
“น้าสะใภ้เล็ก” เจียงสื้อสื้อเดินมาตรงหน้าเธอ จากนั้นก็หมุนตัวให้ดูรอบหนึ่ง “สวยไหม?”
“สวยสิ สวย” ซ่างหยิงพยักหน้าไม่หยุด “งดงามมากจริงๆ เลย”
เจียงสื้อสื้อยิ้มจนตาหยี “ขอบคุณน้าสะใภ้เล็กที่ชมค่ะ”
ซ่างหยิงจ้องมองเธออยู่สักพัก จากนั้นก็พูดขึ้นมา “คุณนี่ช่างเหมือนกับแม่ของคุณตอนสาวๆ เลย”
ในปีนั้นฟางเสว่มั่นถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในชนชั้นสูงอันหรูหรา มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่มีใจให้กับเธอ แต่ช่างน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเธอเลือกผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว สีหน้าของซ่างหยิงพลันปรากฏให้เห็นถึงความเศร้าโศกออกมาเล็กน้อย
เจียงสื้อสื้อมองเห็น ก็รีบพูดทันที “ฉันเป็นลูกแม่ ก็ต้องเหมือนสิ”
ซ่างหยิงถึงเรียกสติกลับมาได้ จากนั้นก็ยิ้มให้และพยักหน้าไปด้วย “อืม เหมือนมาก”
เธอพูดไป และก็เหล่ตามองนาฬิกาข้อมือที่อยู่บนข้อมือ จากนั้นก็พูดออกมา “ฉันได้โทรศัพท์ไปให้เฟิงเฉินมารับคุณที่นี่แล้ว พวกคุณไปงานเลี้ยงได้เลย”
“แล้วคุณละคะ?’
“ฉันจะให้คนขับรถมารับฉันเอง”
เมื่อสิ้นเสียง ก็เห็นจิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาพอดี
ชุดสูทสีดำที่ตัดเย็บพอดีตัวยิ่งทำให้รูปร่างของเขาสูงชะลูดขึ้นไปอีก รูปลักษณ์เครื่องหน้าที่ราวกับแกะสลักมาพออยู่ใต้แสงไฟแล้วยิ่งทำให้วิจิตรงดงามมากกว่าเดิม ดวงตาสีดำขลับจับจ้องมาที่เรือนร่างอันงดงามสะดุดตาที่ทำให้คนตกใจ
สื้อสื้อของเขาสวยมาก แต่เธอในเวลานี้ ยืนอยู่ใต้แสงไฟส่อง รอยยิ้มอันสดใส งดงามจนไม่สามารถเปรียบเปรยกับสิ่งใดได้
ซ่างหยิงเห็นการแสดงออกในสายตาของเขา ได้แต่แอบยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็กระซิบพูดกับเจียงสื้อสื้อ “ดูเหมือนคืนนี้เฟิงเฉินจะหลงใหลในตัวคุณเข้าให้แล้ว”