ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่ 984 สมองได้รับกระทบกระเทือน
หลังจากนั้น จิ้นเฟิงเฉินเดินไปห้องหนังสือพร้อมกับจิ้นเฟิงเหรา
ส่วนเจียงสื้อสื้อนั้นพูดคุยอยู่กับแม่จิ้นอยู่สักพักแล้วค่อยขึ้นไปพักผ่อนด้านบน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจียงสื้อสื้อโดนเด็กทั้งสองคนปลุกให้ตื่น
ตะวันเพิ่งแตะขอบฟ้า พวกเขาก็วิ่งเข้ามาในห้อง จากนั้นก็พยายามดึงเธอกับจิ้นเฟิงเฉินลงมาจากเตียงให้ได้
“แด๊ดดี้ หม่ามี้ วันนี้ที่โรงเรียนอนุบาลมีแข่งกีฬา พวกคุณรีบตื่นนอนเร็ว”
เสียงของเถียนเถียนดังกระฉ่อนข้างหู ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเสียงออดอ้อนของเด็กช่างน่ารัก แต่การนอนยังไม่เต็มตื่นในครั้งนี้ของเจียงสื้อสื้อมีแต่ความรู้สึกโดนรบกวนเล็กน้อย
เธอหลับตาเอาไว้ แต่ก็มีการถามกลับอย่างหมดเรี่ยวแรง “กีฬาอะไรล่ะ?”
“งานกีฬาพ่อแม่ลูกไง” เสี่ยวเป่าเป็นคนตอบ
“หม่ามี้ รีบตื่นเร็ว” เถียนเถียนเขย่ามือของเจียงสื้อสื้อไปมา
จิ้นเฟิงเฉินเห็นท่าทางเจียงสื้อสื้อง่วงนอนมาก พลันพูดกับเถียนเถียนอย่างอ่อนโยน “เถียนเถียน หนูลงไปกินข้าวเช้าข้างล่างพร้อมกับพี่ชายก่อนนะ ให้หม่ามี้นอนอีกสักงีบนะ”
“ไม่ค่ะ หนูจะให้หม่ามี้ไปงานกีฬาพร้อมกับหนู” เถียนเถียนยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่น
“เราจะไปงานเป็นเพื่อนหนูนะ แต่ว่าตอนนี้มันยังเช้าตรู่อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
จิ้นเฟิงเฉินทั้งพูดและใช้สายตาส่งสัญญาณให้เสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าฉลาดมาก พลันเข้าใจความหมายของแด๊ดดี้ทันที จากนั้นก็เขยิบขึ้นมาทางด้านหน้าพลันจูงมือเถียนเถียนเอาไว้ “เถียนเถียน ให้หม่ามี้นอนอีกสักพักนะ เราลงไปกินข้าวเช้ากันก่อน”
เถียนเถียนทำปากยื่น แสดงท่าทางน่าสงสารสุดๆ
เจียงสื้อสื้อที่ตั้งสติกลับมาได้ในเวลานี้ พลันชูมือขึ้นประกบใบหน้าชายเล็กๆ ของเธอเอาไว้ “ลูกรัก เมื่อวานยายซ่างหยิงทำคุกกี้มาให้พวกหนูด้วย หม่ามี้เอามาให้แล้ว พวกหนูรีบลงไปกินข้างล่างเร็ว หม่ามี้กับแด๊ดดี้ขออาบน้ำล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วจะลงไปนะ”
เมื่อได้ยินว่ามีคุกกี้มาเท่านั้นแหละ ดวงตาเถียนเถียนเปล่งประกายทันที “งั้นหม่ามี้ก็รีบหน่อยแล้วกัน!”
พูดจบ เธอก็ดึงมือเสี่ยวเป่าและวิ่งออกไปทันที
เจียงสื้อสื้อเผลอยิ้มอย่างหมดหวัง “เจ้าเด็กน้อยคนนี้พอได้ยินว่ามีคุกกี้ให้กินก็วิ่งเผ่นแน่บไปทันที ไม่คิดจริงๆ เลยว่าฉันยังไม่สามารถเทียบเท่ากับคุกกี้ได้เลยนะเนี่ย”
“ยังจะนอนต่อไหมเนี่ย?” จิ้นเฟิงเฉินถามด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
เจียงสื้อสื้อหาวออกมา “ไม่แล้วแหละ ฉันกลัวว่าเดี๋ยวฉันหลับอีก เถียนเถียนจะรอไม่ไหวแล้วมาปลุกซ้ำอีกรอบ”
“ถ้าเหนื่อยก็พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวผมไปกับพวกเขาก็ได้”
จิ้นเฟิงเฉินเห็นใจเธอ
“ไม่ต้องจริงๆ ค่ะ หนักมากฉันค่อยงีบสักตื่นตอนบ่ายก็ได้”
พูดไป เธอก็เดินลงจากเตียงแล้วเดินมุ่งหน้าไปห้องน้ำทันที แต่ไม่ลืมหันศีรษะกลับมากำชับเขา “คุณก็รีบลุกเร็ว ไปเป็นเพื่อนลูกมันสำคัญมากเลยนะ”
หลังจากรอให้พวกเขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เด็กน้อยสองคนก็ทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว และก็เริ่มเล่นกันอยู่ในห้องรับแขกแล้ว
“เถียนเถียนบอกว่าพวกเธอจะไปร่วมงานกีฬาของโรงเรียนเป็นเพื่อนพวกเด็กๆ เหรอ งั้นก็รีบกินข้าวเช้าเร็วเข้าเถอะ”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาลงมาแล้ว แม่จิ้นก็เริ่มพูดกระตุ้น เพราะว่ากลัวว่าเวลาจะไม่พอ
“ได้” เจียงสื้อสื้อเหลือบมองเถียนเถียนกับเสี่ยวเป่า จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปห้องอาหารพร้อมกับจิ้นเฟิงเฉินทันที
เมื่อทั้งสองคนกินได้แค่ครึ่งกระเพาะเอง พลันมีเสียงกรีดร้องดังระงมออกมาจากห้องรับแขก
เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินตกใจ พลันสบตากัน และวางถ้วยกับตะเกียบที่อยู่ในมือทันทีจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและวิ่งหน้าตั้งไปทันที
พ่อบ้านอุ้มตัวเสี่ยวเป่าขึ้นมา ส่วนแม่จิ้นนั้นใช้มือจับบริเวณศีรษะของเสี่ยวเป่าเอาไว้ เลือดทะลักออกมาจากบาดแผลเปิดอ้าของเธอออกมาอย่างไม่ขาดสาย
ตอนที่เห็นภาพภาพนั้น สีหน้าของเจียงสื้อสื้อนั้น “พรืด” ซีดโพลนทันที
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จิ้นเฟิงเฉินรีบเดินขึ้นไปยังด้านหน้าจากนั้นก็อุ้มตัวเด็กขึ้นมา
“ตอนที่เสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนเล่นกันอยู่นั้น ไม่ทันได้ระวังตัวจนชนเข้ากับขอบมุมห้อง จนหัวแตก”
ตอนที่แม่จิ้นพูดออกมานั้น น้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าซีดเผือด
เถียนเถียนตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ และยืนร้องไห้เสียงดังลั่นอยู่ด้านข้าง
“แม่ แม่ช่วยดูแลเถียนเถียนให้หน่อย ผมจะพาเสี่ยวเป่าไปโรงพยาบาล”
จิ้นเฟิงเฉินอุ้มตัวเสี่ยวเป่าขึ้นมาและวิ่งออกไปทางด้านนอกทันที เจียงสื้อสื้อได้สติแล้ว ก็วิ่งตามเขาไป
ตลอดทาง เจียงสื้อสื้อสมองขาวโพลน เธอจับมือเรียวเล็กของเสี่ยวเป่าที่เย็นเฉียบเอาไว้ น้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าไหลพรั่งพรูออกไปอย่างไม่ขาดสาย
“อย่ากลัวไปเลย เสี่ยวเป่าไม่เป็นอะไรหรอก” ในใจของจิ้นเฟิงเฉินเองก็เป็นห่วงมากเช่นกัน แต่ว่ายังทำเสียงรักษาความหนักแน่นเข้าไว้เอาไว้ปลอบใจเธอ
เจียงสื้อสื้อเม้มริมฝีปากไว้แน่น เพื่อไม่ให้ตนเองร้องไห้เสียงดังออกมา
เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้ว เสี่ยวเป่าถูกส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉินทันที หลังจากผ่านการตรวจจากทางหมอแล้ว นอกจากหัวแตกแล้ว สมองยังกระทบกระเทือนเล็กน้อย ส่วนอันอื่นเป็นปกติดีมาก
เมื่อได้ยินผลการตรวจของหมอแล้ว เจียงสื้อสื้อขาอ่อนทั้งสองข้าง
จิ้นเฟิงเฉินรีบประคองเธอเอาไว้ และพาประคองเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่อยู่ด้านข้าง
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” จิ้นเฟิงเฉินลูบหลังเธอเพื่อเป็นการปลอบโยนอย่างแผ่วเบา
เจียงสื้อสื้อกุมมือเขาเอาไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นร้องไห้ฟูมฟาย
ภาพที่เลือดไหลทะลักออกมานั้นมันยังปรากฏอยู่ในหัวสมองเธอไม่เลือนรางหายไปไหน เมื่อความหวาดกลัวตีเข้ามาเป็นระลอกครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายเธอร้องไห้คร่ำครวญหนักกว่าเก่า
จิ้นเฟิงเฉินไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเธออย่างไรถึงจะดี ทำได้แค่กอดเธอเอาไว้ เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกปลอบใจให้กับเธอ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เธอถึงยอมสงบสติอารมณ์ลงได้
บาดแผลของเสี่ยวเป่าได้จัดการเย็บและทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปยังห้องพักผู้ป่วย
“ระ…เราไปดูเสี่ยวเป่ากัน” เจียงสื้อสื้อร้องไห้จนเสียงแหบ
จิ้นเฟิงเฉินส่งเสียงตอบรับ “ตกลง” จากนั้นก็ประคองเธอให้ลุกขึ้นยืน
เมื่อลุกขึ้น ด้านหน้าเธอดำมืดทันที ร่างกายของเจียงสื้อสื้อโอนเอนไปมา
จิ้นเฟิงเฉินหน้าถอดสีทันที “สื้อสื้อ!”
เจียงสื้อสื้อคว้ามือของเขาเอาไว้ ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เป็นไร แค่มึนหัวนิดหน่อย”
อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ได้รับการกระทบกระเทือนมากเกินไป จนทำให้ร่างกายในวินาทีนั้นมิอาจทนรับสภาพไว้ได้
จิ้นเฟิงเฉินพลันฉุกคิดเรื่องที่โม่เหยียและพวกกำชับเอาไว้ นัยน์ตาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย ระยะนี้เธอก็เป็นปกติดี จนเขาเกือบลืมไปเลยว่าภายในร่างกายของเธอนั้นมีเชื้อไวรัสอยู่
เจียงสื้อสื้อยืนอยู่สักพัก จนสามารถปรับตัวได้แล้ว
เธอหันศีรษะไปมองจิ้นเฟิงเฉิน “ไปกันเถอะ เราไปดูเสี่ยวเป่ากัน”
เสี่ยวเป่ายังไม่ฟื้น ร่างกายเล็กๆ นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยไม่มีการขยับเขยื้อนแต่อย่างใด ใบหน้ารูปไข่อันแดงระเรื่ออยู่เดิมนั้นทว่าในเวลานี้มันกลับซีดเผือดไม่มีเลือดสักนิด
เจียงสื้อสื้อปวดใจจนทนไม่ไหว น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดอย่างยากลำบากเริ่มไหลพรั่งพรูลงมาอีกครั้งแล้วจิ้นเฟิงเฉินยืนอยู่ด้านหลังเจียงสื้อสื้ออย่างเงียบเชียบ ดวงตาดำขลับมีแต่ความปวดใจอย่างเต็มเปี่ยม
เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าของวันนี้มันมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แม้กระทั่งตอนนี้เองเขาก็ยังมึนงงอยู่เลย
เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วๆ เข้าหู เขาพยายามลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเจียงสื้อสื้อกำลังน้ำตาไหลอาบแก้ม
เจ้าเด็กน้อยรู้สึกไม่สบายใจมากในเวลานี้ พลันใช้เสียงเล็กๆ พูดออกมา “หม่ามี้อย่าร้องไห้นะ”
เมื่อได้ยินเสียงเจียงสื้อสื้อก็รีบเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ก็รีบคว้าเขาเข้ามากอดทันที “เสี่ยวเป่า ในที่สุดลูกก็ฟื้นแล้ว หม่ามี้ตกใจจนใกล้จะตายอยู่แล้ว”
เธอทั้งร้องไห้และพูดออกมาพร้อมกัน
เสี่ยวเป่าเองก็ทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นว่าคู่แม่ลูกสองคนกอดคอกันร้องไห้ จิ้นเฟิงเฉินเองก็รู้สึกว่าหนักใจจะไม่รู้จะทำยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะไปปลอบใครก่อนดี
เวลานั้นเอง คุณหมอกับพยาบาลก็เข้ามา เมื่อเห็นว่าคู่แม่ลูกกอดคอกันร้องไห้กลมดิก จนรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังเดินเข้ามาด้านหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อมเอาไว้ “คุณหญิงจิ้น เด็กเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา อย่าให้ความรู้สึกของเขามันตื่นเต้นจนเกินขอบเขต ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดผู้ใหญ่ควรควบคุมอารมณ์ตนเองเอาไว้ให้ได้”
เมื่อได้ยินแล้ว เสียงร้องไห้ระงมของเจียงสื้อสื้อหยุด ณ เดี๋ยวนั้น
เธอปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าของเสี่ยวเป่า พร้อมทั้งพูดปลอบ “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดี เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีนะ พวกเราไม่ร้องไห้แล้วนะ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อพลัน ดวงตายังคงมีน้ำตาเกาะกุมอยู่
หลังจากที่คุณหมอตรวจอาการของเสี่ยวเป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลันหันไปพูดกำชับกับจิ้นเฟิงเฉินและเจียงสื้อสื้อ “ต้องระวังบาดแผลของเด็กให้มาก อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด ต้องเปลี่ยนยาบ่อยๆ เรื่องอาหารการกินก็เน้นรสชาติจืด ประเด็นที่สำคัญที่สุดคืออย่าให้เขาวิ่งโดยใช้พละกำลังมากนัก”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้า “ตกลง งั้นเมื่อไหร่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้คะ?”
“นอนพักอีกสักหลายวันหน่อย เวลาที่เด็กอยู่ที่โรงพยาบาลจะเชื่อฟังมากกว่าอยู่ที่บ้าน มันจะส่งผลประโยชน์ในการให้บาดแผลฟื้นตัวได้ดีขึ้น”
“งั้นก็ได้ค่ะ” ขอแค่ให้เสี่ยวเป่าร่างกายกลับมาแข็งแรงได้เร็ววัน จะอยู่หลายวันก็อยู่ไปเลย