ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1062 เขาไม่เชื่อใจซ่างกวนหยวน
“พี่ มานี่เร็ว” เจียงสื้อสื้อตะโกนบอกฟางยู่เชิน
ฟางยู่เชินรีบเดินไป “มีอะไรเหรอ?”
“พี่รีบคุยกับเฟิงเฉินหน่อยค่ะ บอกเขาให้เขาว่าไม่ต้องกลับมา” เจียงสื้อสื้อยัดมือถือเข้าไปในมือเขาแล้วพูดไปอย่างร้อนรน
ใบหน้าของซ่างกวนหยวนเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าจิ้นเฟิงเฉินกำลังจะกลับมา
“ตกลง ฉันจะคุยกับเขาเอง เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ” ฟางยู่เชิน เห็นท่าทางที่เป็นกังวลของเจียงสื้อสื้อ เขาจึงพูดให้กำลังใจเธอก่อน แล้วค่อยแนบโทรศัพท์ไว้ที่หู
“เฟิงเฉิน”
“ครับ”
เสียงของจิ้นเฟิงเฉินดังขึ้น ฟางยู่เชินเหลือบมอง เจียงสื้อสื้อและพูดต่อ “สื้อสื้อได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว และไม่มีปัญหาอื่นๆเลย คุณไม่ต้องกลับมาก็ได้ครับ”
“เธอฟื้นขึ้นมาเองเหรอ?” จิ้นเฟิงเฉินถาม
“ใช่ครับ แต่ผมขอให้หยวนหยวนช่วยตรวจให้สื้อสื้อแล้ว และเธอก็ไม่เป็นอะไรครับ”
“ซ่างกวนหยวน?”
“ครับ เธอนั่นแหละ”
สีหน้าของจิ้นเฟิงเฉินเข้มลงเล็กน้อย เขาไม่อยากที่จะให้ซ่างกวนหยวนรู้เรื่องสภาพร่างกายของสื้อสื้อเลย แต่ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายก็ปิดบังไม่ได้อยู่ดี
“คุณไม่ควรเรียกเธอมา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฟางยู่เชินก็ตระหนักว่าเขาทำอะไรลงไป เขาจึงรีบขอโทษไป “ผมขอโทษครับ น้องเขย ตอนนั้นผมร้อนรนมากจึงไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ”
“เมื่อไม่เป็นไรแล้ว ผมจะไม่กลับไปตอนนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รีบบอกผมทันทีนะครับ”
ถ้าสื้อสื้อไม่อยากให้เขากลับไป เขาก็จะไม่กลับไป
เขาจำเป็นต้องอยู่ที่ จึงจะสามารถรับยาแก้พิษได้เร็วขึ้น
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
ฟางยู่เชินวางสายแล้วพูดด้วยรอยยิ้มกับเจียงสื้อสื้อว่า “น้องเขยไม่กลับมาแล้ว เขาบอกให้เธอดูแลตัวเองด้วย”
“เฮ้อ!” เจียงสื้อสื้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่กลับมาก็ดีแล้ว”
เธอไม่ต้องการให้จิ้นเฟิงเฉินต้องเดินทางไปมาจริงๆ เธอไม่ต้องการกลายเป็นภาระของเขาอีกครั้ง
“สื้อสื้อ เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?” ซ่างกวนหยวนก้าวมาข้างหน้าและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร” เจียงสื้อสื้อยิ้มให้เธอด้วยความตื้นตัน “ขอบใจที่มานะ ถ้าไม่ได้เธอ ฉันอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาได้เร็วอย่างนี้”
“เธอไม่ต้องเกรงใจกับฉันขนาดนั้นก็ได้”
ทันใดนั้น ซ่างกวนหยวนเปิดกระเป๋าเดินทางที่เธอนำมาด้วยและพูดไปว่า “สถานการณ์ของเธอค่อนข้างแปลก ฉันต้องเอาเลือดของเธอกลับไปตรวจดู”
“เจาะเลือดเหรอ?” เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้ว “อันนี้…ไม่ต้องก็ได้มั้ง?”
เธอเห็นซ่างกวนหยวนหยิบสายรัดและเข็มที่ใช้เจาะเลือดออกมา และเธอก็หดตัวไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว “ไม่จำเป็นจริงๆ ฉันสบายดี”
เมื่อเห็นเธอต่อต้านแบบนี้ ซ่างกวนหยวนก็อดไม่ได้ที่จะสูญเสียรอยยิ้มไป “เธอกลัวความเจ็บปวดใช่ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า “ฉันแค่ไม่คิดว่ามันจำเป็น”
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอไม่ต้องการให้ซ่างกวนหยวนรู้มากเกินไป
ซ่างกวนหยวนรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ จึงได้ยิ้มและพูดไปว่า “ไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่เอามันไปทำการวิจัยอื่นๆเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงสื้อสื้อก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่เธอรู้หมดแล้วเหรอ?”
“อืม”
เจียงสื้อสื้อหันไปมองฟางยู่เชิน
ฟางยู่เชินยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ฉันขอโทษ ฉันเป็นคนบอกเธอไปเอง”
เจียงสื้อสื้อไม่สามารถตำหนิฟางยู่เชินได้ เธอทำได้แค่ยิ้มแห้งๆเท่านั้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดูดไปเถอะ”
เธอกางแขนออกแล้วหันศีรษะไปด้านข้าง
ซ่างกวนหยวนเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว เจียงสื้อสื้อรู้สึกเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย และเลือดก็ถูกดึงออกมาแล้ว
“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?” เจียงสื้อสื้ รู้สึกเหลือเชื่อ
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?” ซ่างกวนหยวนมองเธออย่างขบขัน หยิบสำลีก้านแล้วยื่นให้เธอ “กดให้แน่นะ ถ้าเลือดหยุดไหลก็โยนทิ้งได้เลย”
“ได้” เจียงสื้อกดมันไว้อย่างเชื่อฟัง
ซ่างกวนหยวนเอาเลือดที่ดูดได้ไปเก็บ “ฉันจะนำเลือดกลับตรวจดู ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวฉันบอกเธออีกที”
เจียงสื้อสื้อยิ้มให้เธอเล็กน้อย “รบกวนหน่อยนะ”
ในเวลานี้ ซ่างหยิงเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหาร และได้ยินคำพูดของซ่างกวนหยวนพอดี เธอจึงรีบพูดไปว่า “หยวนหยวน อย่าเพิ่งรีบกลับ อยู่กินอะไรก่อนค่อยไปก็ได้”
“ไม่แล้วค่ะ คุณน้า ฉันมีเรื่องต้องรีบกลับไปทำค่ะ” ซ่างกวนหยวนปฏิเสธน้ำใจของซ่างหยิง
เธอหยิบกล่องขึ้นมาแล้วมองไปที่เจียงสื้อสื้อกับฟางยู่เชิน “ฉันไปก่อนนะ ถ้ามีอะไรต้องทำก็ติดต่อมาได้เลย”
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ” ฟางยู่เฉินพูดขึ้น
ซ่างกวนหยวนพยักหน้า
ทั้งสองพากันเดินออกจากห้องไป
ซ่างหยิงวางจานอาหารลงบนขั้นตรงหัวเตียงแล้วหันมายักคิ้วให้เจียงสื้อสื้อ “เป็นยังไงยัง สองคนนั้นเหมาะสมกันมั้ย?”
เจียงสื้อสื้อพยายามขยับมุมปากอย่างฝืนๆ “มั้งคะ”
“ขนาดในฉันยังฝันว่าอยากให้หยวนหยวนเป็นลูกสะใภ้ของฉันเลย”
เจียงสื้อสื้อมองไปยังใบหน้าที่คาดหวังของซ่างหยิง แล้วเม้มปาก จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องทันที “น้าสะใภ้เล็ก ฉันหิวแล้วค่ะ”
เมื่อซ่างหยิงได้ยิน เธอก็รีบเก็บความคิดอย่างนั้นลงไป แล้วส่งโจ๊กให้เธอ “นี่ฉันให้ในครัวเคี่ยวให้ หนูรีบกินในขณะที่มันร้อนนี่แหละ”
“ขอบคุณค่ะน้าสะใภ้เล็ก”
ซ่างหยิงยิ้ม “เด็กโง่ ยังจะมาขอบคุณอะไรอีก รีบกินเถอะ”
“ค่ะ” เจียงสื้อสื้อพยักหน้าแล้วหยิบช้อนขึ้นมาจิบโจ๊ก มันทั้งนุ่มและเหนียว
เธอหรี่ตาแล้วรอยยิ้ม “อร่อยมากเลยค่ะ”
“ถ้าอร่อยก็กินให้เยอะๆ” ซ่างหยิงมองเธอด้วยหว่างคิ้วที่อ่อนโยน
……
จิ้นเฟิงเฉินไม่ได้ขึ้นเครื่อง
เห้อซูหานที่ได้รับสายรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ไม่สนใจจะถามอะไรมากไปกว่านี้ เธอแค่ขับรถไปสนามบินอย่างรวดเร็วเท่านั้น
หลังจากที่รับจิ้นเฟิงเฉินมาแล้ว เธอถึงได้ถามไปด้วยความสงสัยว่า “คุณชายครับ ทำไมคุณถึงเปลี่ยนใจล่ะครับ?
“อืม” จิ้นเฟิงเฉินพยักหน้า “เธอฟื้นแล้ว และบอกให้ผมไม่ต้องรีบกลับ”
เห้อซูหานยิ้ม “คุณหญิงเธอกลัวว่าคุณจะเหนื่อยเกินไป เธอถึงไม่อยากให้คุณกลับไป”
“แต่ผมเป็นห่วงเธอ” จิ้นเฟิงเฉินกล่าว
“คุณไม่ต้องกังวลมากหรอกครับ คุณหญิงมีคนในครอบครัวคอยดูแลอยู่ เธอไม่เป็นไรหรอกครับ” เห้อซูหานพูดให้กำเขา
จิ้นเฟิงเฉินหันออกไปมองนอกหน้าต่างและไม่พูดอะไรอีก
รถวิ่งได้อย่างราบรื่นบนถนน
หลังจากผ่านไปสักพัก จิ้นเฟิงเฉินก็พูดอีกครั้งว่า “มีอะไรเกิดขึ้นที่ศูนย์วิจัยมั้ยครับ?”
“ไม่มีครับ” เห้อซูหานเหลือบมองจิ้นเฟิงเฉินจากกระจกมองหลัง “เรายังไม่เห็นศาสตราจารย์คูรี่เข้าออกเลยครับ แต่เราเห็นคุณฟู้แทน”
คิ้วของจิ้นเฟิงเฉินกระตุกเล็กน้อย ครั้งก่อนฝู้จิงเหวินบอกว่าหาจะทางเอางานวิจัยล่าสุดของศาสตราจารย์คูรี่มา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน
“เราต้องเคลื่อนไหวมั้ยครับ?” เห้อซูหานถาม
“ยังก่อนครับ” จิ้นเฟิงเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าจ้องจับตาดูเขาก่อน และรายงานให้ข้าทราบทันทีหากมีอะไร เกิดขึ้น”
ในเมื่อฝู้จิงเหวินสัญญาแล้วว่าจะรับผลการวิจัยล่าสุดมาให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็รอไปก่อน
“ครับ” เห้อซูหานตอบรับด้วยความเคารพ
จู่ๆ จิ้นเฟิงเฉินก็นึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมา “ซูหาน ติดต่อพวกโม่เหยียหน่อยครับ ให้พวกเขาหาเวลาไปเมืองหลวงเพื่อตรวจให้สื้อสื้ออย่างละเอียดรอบหนึ่ง”
เขาไม่เชื่อใจซ่างกวนหยวน
“ได้ครับ ฉันจะติดต่อโม่เหยียเดี๋ยวนี้เลยครับ”
หลังจากที่เห้อซูหานพูดจบ เธอก็โทรหาโม่เหยียทันที และถ่ายทอดคำสั่งของของจิ้นเฟิงเฉินให้เขาฟัง
“บอกคุณชายว่าเราจะไปที่เมืองหลวงโดยเร็วที่สุดเพื่อตรวจอาการของคุณหญิง”
คำพูดนั้นดังออกมาจากลำโพง ดังนั้น จิ้นเฟิงเฉินจึงได้ยินหมดแล้ว
“มีข้อสรุปยังไงก็แจ้งผมทันที” จิ้นเฟิงเฉินกล่าว
“ครับ” โม่เหยียตอบมาอย่างเคารพจากอีกฟากของโทรศัพท์