ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1068 จับเธอมาทำการวิจัย
“พูดได้ดี”
เบอร์เกนเดินเข้ามาพร้อมกับปรบมือไปด้วย
ชาร์สรีบเก็บท่าทางที่เย่อหยิ่งจองหองของเขาเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็แสดงรอยยิ้มที่ขี้ประจบออกมา “คุณเบอร์เกน คุณมาแล้วเหรอครับ”
“ใช่” เบอร์เกนเหลือบมองเขาอย่างทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปหาฝู้จิงเหวิน “ฝู้ คุณพูดได้ดีมาก ถ้าคนของผมมีความคิดเหมือนคุณทุกคน มันก็จะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นแน่นอน”
พอพูดถึงที่นี่ เขาก็มองไปที่ชาร์สอย่างมีความนัย
ชาร์สสังเกตเห็นการจ้องมองของเขา จึงหลบตาไปด้วยความละอายใจ
“ชาร์ส ผมได้ยินมาว่าคุณเอาแต่กลั่นแกล้งฝู้จิงเหวินอยู่ตลอด จริงมั้ย?” เบอร์เกนถาม
“ผะ……ผมเปล่านะครับ อาจจะมีคนตั้งใจไปใส่ร้ายให้คุณฟังก็ได้นะครับ”
ชาร์สจะไปกล้ายอมรับได้ยังไง เขารู้ดีว่าสิ่งที่เบอร์เกนไม่ชอบมากที่สุดคือการที่คนของเขาไม่ชอบขี้หน้ากัน เรื่องที่ทะเลาะวิวาทกับฝู่จิงเหวินครั้งก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะศาสตราจารย์คูรี่ช่วยไว้ เขาน่าจะถูกไล่ออกจากสถาบันไปนานแล้ว
“โอ้?” เบิร์กเลิกคิ้วขึ้น “แล้วเมื่อสิ่งที่ผมได้ยินคืออะไร?”
“เราแค่หยอกล้อกันครับ” ชาร์สขยิบตาให้ฝู้จิงเหวิน “จริงมั้ย ฝู้?”
ฝู้จิงเหวินสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อฟ้องชาร์สต่อหน้าเบอร์เกนได้ ทำให้ชาร์สต้องถูกลงโทษ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ
“ใช่ครับ เราแค่หยอกล้อกันครับ”
ถ้าเขาต้องการได้รับความไว้วางใจจากศาสตราจารย์คูรี่ เขาต้องเริ่มจากชาร์สก่อน
“โอ้ แค่ล้อเล่นกันเอง” เบอร์เกนรู้อยู่แก่ใจ แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้พวกเขาต่อ
“แล้วศาสตราจารย์คูรี่ล่ะครับ?” เบอร์เกนเปลี่ยนการสนทนา
“อาจารย์อยู่ในห้องทดลองครับ เดี๋ยวผมไปเรียกเขาให้นะครับ”
ก่อนที่เบอร์เกนจะทันตอบสนอง ชาร์สก็หันหลังและวิ่งเข้าไปในห้องทดลองแล้ว
ไม่นานศาสตราจารย์คูรี่ก็ออกมา
“คุณเบอร์เกน”
ศาสตราจารย์คูรี่ซึ่งเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงในสถาบัน ก็ยังต้องให้ความเคารพกับเบอร์เกนเลย
“การวิจัยดำเนินไปในขั้นไหนแล้วครับ?” เบอร์เกนถาม
เมื่อได้ยินแบบนั้น แววตาของฝู่จิงเหวินก็แสดงความรู้สึกที่ยากจะสังเกตได้ออกมาอย่างรวดเร็ว
ศาสตราจารย์คูรี่เหลือบมองฝู้จิงเหวิน แล้วพูดเบาๆว่า “ไปที่คุยกันในห้องประชุมดีกว่าครับ”
เบอร์เกนรู้ดีว่าเขากังวลเรื่องอะไร เขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “โอเค”
พอเห็นพวกเขาพากันเดินไปที่ห้องประชุมฝู้จิงเหวินก็ต้องกำหมัดแน่น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาปกคลุมไปด้วยความไม่ชอบใจ
เขาเอวก็อยากรู้เหมือนกันว่างานวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่นั้นไปถึงไหนแล้ว
แต่ศาสตราจารย์คูรี่ระแวงเขาแบบนี้ มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะรู้
……
เมื่อมาถึงห้องประชุม ศาสตราจารย์คูรี่ก็พูดตรงไปตรงมาว่า “คุณเบอร์เกนครับ ยาได้ถูกวิจัยออกมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการทดสอบ เลยไม่รู้ว่าจะส่งผลอะไรต่อไวรัสบ้าง”
“แล้วจะทำการทดลองเมื่อไหร่รับ?” เบอร์เกนถาม
ศาสตราจารย์คูรี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แม้ว่าการทดลองกับสัตว์จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้กับมนุษย์ได้”
เบอร์เกนขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณหมายความว่ายังไงครับ?”
“ผมหมายความว่ามันจะเห็นผลดีที่สุดที่เมื่อทดลองกับคนโดยตรงครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เบอร์เกนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “คูรี่ นี่คุณบ้าไปแล้วเหรอครับ? รู้ไหมว่าเมื่อคุณทำการทดลองกับคน แล้วถ้ามันเกิดล้มเหลวขึ้นมาจนมีคนตาย คุณกับผมต่างก็ต้องรับผิดชอบนะครับ”
“คุณเบอร์เกนกลายเป็นคนขี้กลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” ศาสตราจารย์คูรี่มองเขาด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“ผมขี้กลัวเหรอ?” เบอร์เกนหัวเราะราวกับเป็นเรื่องตลก หลังจากที่หัวเราะไปสองครั้งรอยยิ้มของเขาก็หายไป เขาก็พูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “คุณน่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าในวงการแพทย์นั้นห้ามทดลองกับคนเด็ดขาดนี่”
“คุณเบอร์เกนครับ คุณคิดว่าห้ามแล้วจะไม่มีใครทำอย่างนั้นเหรอครับ ในการทำงานวิจัย ก็มีคนที่ต้องเสียสละอยู่แล้วมิฉะนั้น การแพทย์จะพัฒนาได้อย่างไรครับ?”
เบอร์เกนจ้องไปที่ศาสตราจารย์คูรี่อยู่นาน ก่อนจะขยับริมฝีปาก “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่บอก แต่คุณจะหาคนที่เหมาะสมมาเพื่อทำการทดลองได้ยังไงครับ?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณยังจำเจียงสื้อสื้อที่ติดเชื้อไวรัสแต่ยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบายได้รึเปล่าครับ?” ศาสตราจารย์คูรี่ถาม
เบอร์เกนพยักหน้า “ผมจำได้แน่นอน”
“เราสามารถจับเธอมา แล้วใช้เธอในการทดลองได้ครับ” แววตาศาสตราจารย์คูรี่เต็มไปด้วยความโลภ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะรู้ว่ายาที่เขาพัฒนาขึ้นนั้นใช้ได้ผลหรือไม่
“ไม่เพียงแค่จำเธอได้ แต่ผมยังจำได้ว่าเธอเป็นภรรยาของจิ้นเฟิงเฉินด้วย”
เบอร์เกนหรี่ตา “บอกตามตรง ผมไม่อยากจะมีเรื่องกับจิ้นเฟิงเฉินเลย คุณน่าจะรู้ดีรู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา”
ศาสตราจารย์คูรี่หัวเราะออกมา “แต่ผมรู้ว่าคุณเก่งกว่าเขาอีก ใช่มั้ยครับ?”
ใครๆก็ชอบฟังคำชมทั้งนั้น และเบอร์เกนเองก็ไม่ยกเว้น
เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ตกลง ผมจะหาทางส่งคนไปพาเจียงสื้อสื้อมาให้ได้”
“แล้วฉันจะรอข่าวดีจากคุณเบอร์เกน”
……
ฝู้จิงเหวินมองไปทางห้องประชุมเป็นพักๆ เขาไม่มีใจที่จะทำอะไรเลย ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับผลการวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่เท่านั้น
“ระวัง!”
ข่ายสื้อลินเดินออกมาจากห้องทดลอง พอเห็นฝู้จิงเหวินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และตอนที่เธอกำลังจะเดินไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น เธอก็เห็นมือของเขาไปเกี่ยวโดนชั้นวางหลอดทดลองพอดี
พอเห็นว่าชั้นวางหลอดทดลองกำลังจะล้ม เธอจึงรีบเข้าไปรับเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น?” ฝู้จิงเหวินทำหน้าเหมือนไม่รู้อะไรเลย
ข่ายสื้อลินวางชั้นวางหลอดทดลองให้เข้าที่ แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “คุณเกือบทำชั้นวางหลอดทดลองล้มแล้ว!”
ฝู้จิงเหวินหันไปมองแล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ขอโทษครับ”
“ฝู้ นี่คุณกำลังคิดอะไรอยู่? คุณดูไม่ปกติเลย” ข่ายสื้อลินจ้องเขม็งมาที่เขา เหมือนพยายามมองหาคำตอบจากใบหน้าที่สงบของเขา
“ผมไม่เป็นไรครับ”
“คุณ……”
ข่ายสื้อลินกำลังจะถามต่อ แต่เบอร์เกนและศาสตราจารย์คูรี่ก็ออกมาจากห้องประชุมพอดี
“คุณเบอร์เกน” ข่ายสื้อลินเรียกด้วยความเคารพ
“ลิน คุณอยู่ด้วยเหรอครับ” เบอร์เกนมองไปที่ฝู้จิงเหวิน
“ค่ะ ทำไมวันนี้คุณเบอร์เกนถึงมีเวลาว่างมาที่นี่เหรอคะ?” ข่ายสื้อลินถาม
“แค่แวะเข้ามา ผมมีเรื่องจะถามศาสตราจารย์คูรี่พอดี”
เบอร์เกนมองไปที่ศาสตราจารย์คูรี่ แล้วมองไปฝู้จิงเหวิน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คูรี่ ต่อไปคุณสามารถให้ฝู้ช่วยคุณได้เขาเป็นเก่งกว่าชาร๋สมาก ผมเชื่อว่าเขาจะเป็นประโยชน์กับคุณมาก”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ในใจของฝู้จิงเหวินก็รู้สึกมีความหวังขึ้นเล็กน้อย ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็สามารถรู้ถึงความคืบหน้าในการวิจัยของศาสตราจารย์คูรี่แล้ว
แต่น่าเสียดายที่ศาสตราจารย์คูรี่ปฏิเสธไปก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ฉันเคยชินกับการมีชาร์สเป็นผู้ช่วยแล้วครับ”
คำพูดเหล่านี้เป็นเหมือนกับน้ำเย็น ที่เข้ามาดับความหวังที่กว่าจะเกิดขึ้นได้ของฝู้จิงเหวินลงไป
ข่ายสื้อลินสังเกตเห็นความผิดหวังที่แวบเข้ามาในดวงตาของฝู้จิงเหวิน ดวงตาหมุนวน แล้วพูดไปยิ้มไปว่า “ศาสตราจารย์คูรี่คะ คุณยังเป็นคนกีดกันคนต่างชาติแบบนี้อยู่อีกเหรอคะ หากเป็นแบบนี้ มันจะไม่เป็นผลดีต่อการวิจัยนะคะ”
ยากมากที่เธอพูดกับศาสตราจารย์คูรี่ต่อหน้าแบบนี้
สีหน้าของศาสตราจารย์คูรี่ดูแย่ไปทันที “ลิน นี่คุณหมายความว่ายังไง คุณกำลังกล่าวหาผมอยู่ใช่มั้ยครับ?”
ข่ายสื้อลินยิ้มออกมา “ฉันจะกล้าไปกล่าวหาคุณได้ยังไงคะ ฉันแค่คิดว่าคุณกีดกันชาวต่างชาติมากเกินไป แบบนี้มันจะไม่เป็นผลดีสำหรับนักวิจัยหน้าใหม่นะคะ”
“ไม่ใช่ว่าผมกีดกันชาวต่างชาติ แต่ผมแค่ไม่ต้องการให้มีคนเห็นงานวิจัยของผมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคนที่มันคิดไม่ซื่อ” ศาสตราจารย์คูรี่เหลือบไปที่ฝู้จิงเหวินด้วยสายตาที่แฝงด้วยความนัย