ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่1188นี่คุณมันจมูกหมารึไง
เหลียงซินเวยเดินไปตบหลังเขาเบาๆ “ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ? เธอต้องบอกว่ายินดีต้อนรับครับลุงฟางสิ”
อานอานแลบลิ้นออกมา “ยินดีต้อนรับครับลุงฟาง”
ระหว่างที่ลุงฟางถือของเข้าห้องครัวไป ก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ปกติคุณสอนลูกแบบนี้เหรอครับ?”
“ก็ไม่หรอกค่ะ” เหลียงซินเวยรีบเดินตามไป “ปกติฉันไม่ค่อยได้สอนอานอานหรอกค่ะ เขาเป็นเด็กที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“คุณลุง ผมเป็นเด็กที่รู้เรื่องและเป็นเด็กดีด้วยครับ” อานอานพูดเสริมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ฟางยู่เชินวางของแล้วเดินออกมา เดินไปหาอานอาน แล้วพูดแซวไปว่า “มีใครเขาพูดชมตัวเองกัน”
“ผมไม่ได้ชมตัวเองนะครับ ผมแค่พูดความจริงเท่านั้น” อานอานเชิดคางขึ้นด้วยความมั่นใจ
ฟางยู่เชินยิ้มออกมาพร้อมกับเอามือไปขยี้หัวเขา
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง เหลียงซินเวยก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ?” ฟางยู่เชินหันหน้าไป แล้วเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอพอดี แววตาก็ดูอ่อนโยนลงไปมาก
เหลียงซินเวยไม่ทันสังเกต ส่ายๆ หน้า “ไม่มีค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“คุณลุงครับ ถ้าลุงไม่ไปช่วยละก็ แม่ผมต้องเอ้อระเหยแน่ๆ กว่าเราจะได้กินหม้อไฟก็คงดึกมากแล้ว” อานอานกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา
ฟางยู่เชินหันมองเหลียงซินเวยที่เดินเข้าไปในครัว แล้วมุมปากก็แย้มขึ้น “งั้นฉันไปช่วยก่อนนะ เธอเล่นไปคนเดียวแล้วกัน”
“ครับ”
อานอานที่เห็นเขาก็เดินเข้าไปในครัว ก็เอามือปิดปากแล้วแอบขำออกมา
แบบนี้แม่ก็มีโอกาสได้อยู่กับลุงฟางตามลำพังสักที
……
ฟางยู่เชินใส่ผ้ากันเปื้อน ตอนที่ยื่นมือไปข้างหลังเพื่อจะผูกเชือก กลิ่นอายที่เย็นวาบสายหนึ่งก็ได้ห้อมล้อมเข้ามา
เธอหันหน้าไปมอง เป็นฟางยู่เชินนั่นเอง
เขาช่วยเธอผูกเชือกจนเสร็จ
ทำไมเขาถึงสามารถทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติกันนะ?
เป็นธรรมชาติจนเธอเผลอคิดไปแวบหนึ่งว่าพวกเธอเป็นแฟนกันอยู่เลย
เหลียงซินเวยรีบส่ายหน้า เพื่อสะบัดความคิดเพ้อเจ้อพวกนั้นให้ออกจากหัวไป
“พี่ฟางคะ คุณช่วย……”
เธออยากบอกว่าให้เขาอย่าทำเรื่องที่ทำให้เธอต้องคิดมากได้มั้ย
แต่พอเห็นสีหน้าที่เป็นธรรมชาติของเขา มันก็ทำให้เธอเข้าใจว่าเขาอาจจะแค่ทำไปโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่านั้นก็ได้
ถ้าเทียบกันแล้ว เป็นเธอนั่นแหละที่คิดมากไปเอง จะไปโทษเขาไม่ได้
พอคิดได้แบบนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ฟางยู่เชินมองเธอด้วยความขบขัน “ทำไมอยู่ๆ ถึงถอนหายใจออกมาล่ะครับ?”
เหลียงซินเวยรีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรค่ะ”
“คุณไปนั่งรอในห้องรับแขกเถอะค่ะ ไม่ต้องช่วยฉันก็ได้” เธอพูด
ฟางยู่เชินเลิกคิ้วขึ้น “ผมจะมากินแบบฟรีๆ ไม่ได้ ได้ช่วยอะไรบ้างก็น่าจะดีกว่านะครับ”
“ของพวกนี้คุณก็เป็นคนจ่าย คุณไม่ได้กินฟรีซะหน่อย” เหลียงซินเวยพึมพำเบาๆ
ฟางยู่เชินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เขากลับไปหยิบของในถุงออกมา
พอเห็นแบบนั้น เหลียงซินเวยก็รีบยื่นมือเข้าไปห้ามทันที “คุณไม่ต้องช่วยจริงๆ ค่ะ ฉันทำคนเดียวก็พอแล้ว”
ฟางยู่เชินหลบมือของเธอ แล้วหันมาพูดกับเธออย่างจริงจังว่า “ถ้าคุณยังจะเถียงกับผมต่อไป คืนนี้เราก็คงไม่ต้องกินแล้วล่ะครับ หม้อไฟน่ะ”
เมื่อห้ามเขาไม่ได้แล้วจริงๆ เหลียงซินเวยก็ได้แต่ต้องตามใจเขา
แต่ว่า พอมีเขาคอยช่วย หลังผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ได้กินหม้อไฟแล้ว
เนื่องจากฟางยู่เชินไม่กินเผ็ด เหลียงซินเวยจึงตั้งใจต้มซุปมะเขือเทศโดยเฉพาะ
“พี่ฟางคะ คุณคิดซะว่าเป็นบ้านของคุณ ทำตัวตามสบายเลยนะคะ” เหลียงซินเวยยื่นตะเกียบให้เขา
ฟางยู่เชินยิ้มออกมา “ครับ”
……
บ้านใหญ่ตระกูลฟาง
เจียงสื้อสื้อเดินเข้าไปในห้องอาหาร สังเกตเห็นบนโต๊ะมีจานชามวางอยู่แค่สองชุด จึงได้ถามไปด้วยความสงสัยว่า “พี่ชายไม่กลับมากินข้าวเหรอคะ?”
“ใช่ เขาบอกว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนน่ะ” ซ่างหยิงวางน้ำซุปลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วแล้วใช้ความคิด “เธอว่าเขาจะกำลังอยู่กับเสี่ยวอี้รึเปล่า?”
“ถ้าคนอื่นหนูไม่มั่นใจ แต่ถ้าเป็นเสี่ยวอี้ละก็ไม่มีทางค่ะ” เจียงสื้อสื้อดึงเก้าอี้แล้วนั่งลง “พี่ชายไม่มีทางอยู่กับเธอแน่นอนค่ะ”
ซ่างหยิงถลึงตาใส่เธออย่างไม่พอใจ “เด็กคนนี้นี่ทำไมถึงชอบพูดขัดฉันอยู่เรื่อยเลยนะ?”
“น้าสะใภ้เล็กคะ หนูไม่ได้พูดขัดใจน้านะคะ หนูแค่อยากให้น้ายอมรับความจริงได้เร็วเท่านั้น”
ซ่างหยิงยื่นซุปถ้วยหนึ่งให้เธอ “เดี๋ยวถ้าน้าเล็กของเธอกลับมา ต้องคุยเรื่องหมั้นหมายของทั้งสองบ้านให้เรียบร้อย”
พอเจียงสื้อสื้อได้ยินแบบนั้น ก็เบิ่งตาด้วยความสงสัย “น้าสะใภ้เล็กคะ นี่น้าคิดจะให้พี่ชายกับเสี่ยวอี้แต่งงานกันจริงๆ เหรอคะ?”
ไม่ใช่ว่าเคยบอกเธอไปแล้วเหรอว่า เย่เสี่ยวอี้นั้นนิสัยไม่ดี? แล้วทำไมถึงยังมีความคิดแบบนี้อยู่อีก?
ซ่างหยิงถอนหายใจออกมา “ณ จุดจุกนี้ ก็คงมีแค่เสี่ยวอี้ที่เหมาะสมกับยู่เชินที่สุดแล้ว ตระกูลเย่เองก็สามารถช่วยเหลือยู่เชินได้”
เจียงสื้อสื้อกินซุปไปหนึ่งคำ แล้วลองพูดหยอดไปว่า “แค่เหตุผลนี้ น้าก็ไม่สนใจความสุขทั้งชีวิตของพี่ชายแล้วเหรอคะ?”
“แม่ของเธอทำเพื่อความสุขของตัวเอง ทะเลาะจนแตกหักกับคุณท่าน แล้วตอนสุดท้ายนั้นได้อะไรกลับมาบ้าง?”
ซ่างหยิงยกฟางเสว่มั่นมาเป็นตัวอย่าง
พอเจียงสื้อสื้อฟังแล้วในใจก็รู้สึกไม่ชอบเท่าไหร่ เธอวางซุปลง แล้วพูดไปอย่างเรียบเฉยว่า “แม่ของหนูน่ะถูกหลอก มันแตกต่างจากกรณีของพี่ชายนะคะ”
ทันใดนั้น ซ่างหยิงก็ได้รู้ตัวว่าเธอพูดอะไรพลาดไป จึงรีบอธิบายไปว่า “สื้อสื้อ ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่……”
เจียงสื้อสื้อส่ายหน้า “น้าสะใภ้เล็ก ไม่เป็นไรค่ะ”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทันที
ซ่างหยิงจ้องมองไปที่เจียงสื้อสื้อ ด้วยความรู้สึกหัวเสียอย่างถึงที่สุด
ข้อด้อยของคนอื่นไม่ควรที่จะหยิบขึ้นมาพูด
ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องของฟางเสว่มั่นเป็นปมในใจของเจียงสื้อสื้อ ยังจะพูดถึงมันอีก ช่างโง่เง่าจริงๆ
เจียงสื้อสื้อกินซุปไปอีกหลายคำ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมไปว่า “น้าสะใภ้เล็กคะ หนูหวังว่าน้าจะนึกถึงความรู้สึกของพี่ชายให้มากๆ อย่าบังคับให้เขาต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบเลยนะคะ”
ซ่างหยิงพยักหน้า “ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”
เจียงสื้อสื้อจ้องมองเธอ แอบถอนหายใจอยู่ข้างใน
ถึงแม้ปากจะบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่จะทำตามที่พูดจริงๆ รึเปล่านั้น มันก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้
พอคิดถึงตรงนี้ เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจฟางยู่เชินขึ้นมา
ถ้าแม้แต่ความสุขของตัวเองยังเลือกเองไม่ได้ แบบนั้นมันก็ดูน่าเจ็บปวดมากเลย
แต่เธอคิดว่า พี่ชายต้องคิดได้อยู่แล้วว่าตัวเองนั้นชอบใครกันแน่
จนกระทั่งกลางดึกสี่ทุ่มกว่าฟางยู่เชินถึงกลับบ้าน
เขาฮัมเพลงขึ้นมาชั้นบน ตอนที่เดินมาถึงหน้าห้องหนังสือ เจียงสื้อสื้อก็ออกมาจากในห้องพอดี
พอเจียงสื้อสื้อได้ยินเสียงที่ฮัมเพลงของเขา คิ้วบางๆ ก็เลิกขึ้น แล้วพูดแซวเขาไปว่า “พี่คะ ทำไมวันนี้ถึงอารมณ์ดีอย่างนี้ เก็บเงินได้เหรอคะ?”
พอเธอเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ
เธอใช้แรงสูดดม แล้วสายตาก็เป็นประกาย “นี่พี่ไปกินหม้อไฟมาเหรอคะ?”
ฟางยู่เชินอดไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมา “นี่เธอมันจมูกหมารึไงเนี่ย ทำไมจมูกถึงดีแบบนี้?”
“ฉันไม่ใช่หมาซะหน่อย” เจียงสื้อสื้อถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ชอบใจ
ฟางยู่เชินหัวเราะชอบใจอย่างอารมณ์ดี
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วที่บางๆ ของเธอ “พี่คะ นี่พี่กำลังอารมณ์ดีเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ?”
“ไม่มีอะไร” ฟางยู่เชินเปลี่ยนเรื่องไปอย่างเนียนๆ “นี่เธอยังไม่นอนอีกเหรอ?”
“ฉันจะลงไปกินน้ำค่ะ”
ฟางยู่เชินพยักหน้า “รีบไปเถอะ”
ตอนที่เจียงสื้อสื้อเดินผ่านเขาไป จู่ๆ ขาก็หยุดชะงัก เธอหันหน้าไป แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่คะ คืนนี้พี่เพิ่งไปกินหม้อไฟกับเวยเวยมาใช่มั้ยคะ?”
มันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?
ฟางยู่เชินยกมือขึ้นมาลูบๆ ที่จมูก “ถ้าฉันบอกว่าไม่ใช่ เธอจะเชื่อมั้ยล่ะ?”
เจียงสื้อสื้อขำ “ฮึฮึ” ออกมาสองครั้ง “ไม่เชื่อค่ะ”
การที่เขาถามแบบนั้นออกมา ก็แสดงว่าเธอทายถูกแล้ว