ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่472 ยังคงขาดหลานสาว
บทที่472 ยังคงขาดหลานสาว
รถขับไปถึงวิลล่าของตระกูลจิ้น และจอดอยู่ที่หน้าประตู
เสี่ยวเป่าใช้ลูกไม้เดิมและยังคงอยากให้เจียงสื้อสื้อกอดเขาไว้ ใครจะคิดว่าเมื่อเขายื่นมือออกไปกลับพบกับอ้อมกอดที่กว้างกว่า
เสี่ยเป่าบิดตัวและถูกจิ้นเฟิงเฉินอุ้มเข้าบ้านอย่างไม่เต็มใจ
หลังอาหารเย็นครอบครัวจิ้นมักจะนั่งคุยกันและวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“อาจำได้ว่าการแข่งขันของเสี่ยวเป่าใกล้เข้ามาแล้ว แข่งวันไหนกันนะ?” จิ้นเฟิงเหรายิ้มและถามขึ้น
แม่จิ้นมองค้อนเขา: “อีกสองวัน แกนี่เป็นอาประสาอะไร?”
“โธ่เอ๊ย ดูความจำอาสิ เสี่ยวเป่าสู้ ๆ นะ ถึงเวลาอาจะไปเป็นกำลังใจให้ หนูต้องคว้าแชมป์มาให้อาดูด้วยล่ะ” จิ้นเฟิงเหรามองไปที่เสี่ยวเป่า
“ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ายังไงหลานปู่ก็เป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว” พ่อจิ้นพาลพูดขึ้น
จิ้นเฟิงเหรายักไหล่เล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
เสี่ยวเป่าตอบกลับอย่างชัดเจน: “คุณปู่ เป้าหมายของผมคือการคว้าแชมป์ครับ”
ทุกคนนิ่งไปชั่วขณะและต่างพากันหัวเราะ
ในกลุ่มนั้นจิ้นเฟิงเหราหัวเราะอย่างมีความสุขที่สุด เจ้าเด็กนี่ทะเล้นจริง โตไปแด๊ดดี้คงจะรับมือยากแน่สมแล้วที่เป็นลูกชายของพี่
เจียงสื้อสื้ออุ้มเสี่ยวเป่าไว้ในอ้อมแขนของเขาและหอมเขาพร้อมกล่าวชม: “เก่งมากจ้ะลูก”
เสี่ยวเป่าได้รับคำชมจากผู้เป็นแม่แล้วเขินอายเล็กน้อย ลูบคอของเจียงสื้อสื้อแล้วส่งคำเชิญออกไป “หม่ามี๊มาดูผมแข่งด้วยได้ไหมครับ?”
“แน่นอนจ้ะ” เจียงสื้อสื้อพูดโดยไม่ลังเล: “มันไม่ง่ายเลยที่ลูกของแม่จะไปแข่งสักครั้ง หม่ามี๊จะไม่ไปได้ยังไง แด๊ดดี้ก็ต้องไปด้วย”
พูดแล้วก็มองไปที่จิ้นเฟิงเฉินพร้อมกับสายตาบังคับ: คุณจะบอกว่าไม่ไปไม่ได้ เรื่องใหญ่อะไรก็ต้องพักก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเสี่ยวเปล่าผิดหวังขึ้นมาล่ะ น่าดู
จิ้นเฟิงเฉินรู้สึกตลกเพราะทั้งลูกและภรรยาของเขายืนอยู่ข้างเดียวกันจนเขากลายเป็นคนนอกแต่เขาก็เต็มใจรับความลำบาก เมื่อมองแววตาที่คาดหวังของเสี่ยวเป่า จิ้นเฟิงเฉินกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยนอย่างหาไม่ได้ง่าย ๆ “แด๊ดดี้ก็จะไป”
เสี่ยวเป่าร้องว้าวและดีใจมากจนไม่รู้จะทำยังไง เขาหอมเจียงสื้อสื้อสองสามทีที่แก้มจากนั้นปีนขึ้นไปบนร่างของจิ้นเฟิงเฉินและประทับตราน้ำลายให้เขา
จิ้นเฟิงเฉินโอบแขนของเขาไว้รอบตัวเล็ก ๆ ของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เขาล้มลงดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จิ้นเฟิงเหราอิจฉาตาร้อนและหันไปร้องตะโกนกับเสี่ยวเป่า: “อาก็จะหอมด้วย มาหอมทีสิ”
เสี่ยวเป่าก้าวขาสั้น ๆ เตะและวิ่งไปตามคำขอของเขาและจูบปู่ย่าของเขาที่แก้มอย่างชาญฉลาดจากนั้นกลับไปที่อ้อมแขนของเจียงสื้อสื้อเพื่อแอบอิง
แม่จิ้นหัวเราะแล้วพูด: “พวกเราไม่ขาดอะไรแล้ว จะขาดก็แต่หลานสาว สื้อสื้อ เฟิงฉิน เมื่อไหร่พวกลูกจะเติมเต็มความหวังของเราได้นะ?”
เจียงสื้อสื้อหน้าแดงดวงตาของเธอกระพริบและเขาก้มศีรษะลง
จิ้นเฟิงเฉินสงบมาก แต่มุมปากของเขางอเล็กน้อยและดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องมองไปที่เจียงสื้อสื้อ ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรัก
เพียงชั่วพริบตาสองวันก็ผ่านไป
วันนี้เป็นวันแข่งขันของเสี่ยวเป่า ทั้งครอบครัวนั่งรถไปกันสองคัน
รถที่เสี่ยวเป่ากับเจียงสื้อสื้อและจิ้นเฟิงฉินนั่งอยู่ด้านหน้า และตามมาด้วยรถของพ่อแม่จิ้นมุ่งหน้าไปที่สนามแข่งขันอย่างครื้นเครง
ระหว่างทางเจียงสื้อสื้อคุยเล่นกับเสี่ยวเป่าตลอดทางเสียงหัวเราะคึกคักแทบไม่มีความตึงเครียดใด ๆ แม้แต่จิ้นเฟิงเฉินที่มีสีหน้าเย็นชายังอดไม่ได้ที่จะอ่อนโยนลง
การแข่งขันนี้จัดขึ้นในระดับประเทศและมีขนาดใหญ่อาจารย์ที่ได้รับเชิญยังเป็นอาจารย์ของสมาคมคัดลายมือด้วย
การแข่งขันแบ่งออกเป็นสามกลุ่มแยกเป็นกลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มเยาวชน และกลุ่มบุคคลทั่วไป สถานที่จัดงานยังแบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ทั้งหมดอยู่ติดกัน เสี่ยวเป่านั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มเด็กเล็ก
เมื่อเข้าไปในสนามแข่ง สต๊าฟจะแจกหมายเลขให้กับผู้แข่งขัน ก่อนการแข่งพวกเขาจะรวมตัวกันที่พื้นที่ด้านหลังพร้อมกับป้ายทะเบียนและผู้ที่ติดตามสามารถนั่งในที่นั่งผู้ชมด้านล่างเพื่อรับชมได้เท่านั้น
เจียงสื้อสื้อตื่นเต้นและมองที่เวทีอยู่ตลอด มือของเธอมีเหงื่อเต็มไปหมด เธอรู้สึกประหม่ายิ่งกว่าตนเองเข้าประกวดเองด้วยซ้ำ
จู่ ๆมือใหญ่ก็ยื่นออกมาและจับมือเธอไว้
“ตื่นเต้นเหรอ?” เสียงทุ้มและนุ่มนวลของจิ้นเฟิงเฉินดังขึ้นข้างหูของเธอ
เจียงสื้อสื้อมองไปที่เขา: “คุณไม่ตื่นเต้นเหรอคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินยิ้ม: “ไม่ตื่นเต้น ไม่ว่าเขาจะได้รางวัลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”
แน่นอนว่าเจียงสื้อสื้อไม่ได้เป็นห่วงว่าเสี่ยวเป่าจะได้รางวัลหรือไม่ เธอก็แค่ ๆ…โธ่เอ๊ย จะให้พูดยังไง คงจะเป็นเรื่องของความแปลกของจิตใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่
“ไม่ต้องตื่นเต้น แค่ดูก็พอ” จิ้นเฟิงเฉินพูดอย่างสงบ เจียงสื้อสื้อก็สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์ขณะที่เขาฟังเสียงที่สงบของเขา
ในตอนนั้นผู้แข่งขันออกมาทีละคนเสี่ยวเป่าก็อยู่ท่ามกลางพวกเขา เจียงสื้อสื้อรู้สึกตื่นเต้นมาก “ฉันเห็นเสี่ยวเป่าแล้ว เขาอยู่นั่นไง”
ในช่วงเริ่มต้นของเกมผู้เข้าแข่งขันทุกคนนั่งลงและเขียนคำศัพท์ที่กำหนดตามข้อบังคับ เสี่ยวเป่าถือพู่กันหลังตั้งตรง ทุกขีดเป็นจังหวะจะโคนจริงจังและสบาย ๆ เป็นที่เห็นที่โดดเด่นในฝูงชน ด้วยรูปลักษณ์เล็ก ๆ น่ารักนั้นดูดีมากเสียจนแม้แต่ช่างภาพที่ถ่ายทำภาพก็ยังอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเขาไว้หลายใบ
หลังจากผู้เข้าแข่งขันเสร็จสิ้น การคัดเลือกในสถานที่จะเริ่มขึ้นกรรมการมองไปที่พวกเขาทีละคนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าอันที่จริงกลุ่มของเด็ก ๆ ยังเด็กเกินไปและการประดิษฐ์ตัวอักษรนั้นมีไว้เพื่อความแข็งแรงของข้อมือและโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาแล้วไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนักขอแค่คนที่ทำผลงานได้ดีก็พอ
แต่เมื่อพวกได้เห็นผลงานชิ้นหนึ่งก็เปลี่ยนท่าทีเป็นเคร่งขรึมขึ้นทันที เพียงเพราะผลงานชิ้นนี้นั้นดีเกินคาด การลากพู่กันนั้นได้รับการฝึกมาอย่างดี ปลายพู่กันมีความแข็งแรงและทรงพลัง หากเปรียบเทียบกับกลุ่มเยาวชนก็ถือว่าไม่แพ้เลยทีเดียว
คณะกรรมการทั้งหมดรวมตัวกันชื่นชมผลงานนี้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเบา ๆ และในที่สุดก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ผลงานนี้ได้แชมป์
หลังจากจัดอันดับแล้ว พิธีกรได้เริ่มประกาศและวางถ้วยรางวัล เมื่อประกาศถึงชื่อของเสี่ยวเป่าทุกคนต่างก็ยืดคออยากเห็นแชมป์
เสี่ยวเป่าก้าวเล็ก ๆ และเดินไปที่หน้าเวทีอย่างโอ่อ่า
อายุของเขาถือว่าน้อยมากในรุ่นเด็ก แต่เขาดูน่ารักและบอบบางแถมวันนี้ยังสวมชุดสูทตัวเล็ก ๆ เรียกได้ว่าน่ารักมาก ๆ เสียงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่แม้แต่พิธีกรก็ยังอดสั่นสะท้านในความน่ารักไม่ได้
เดิมทีแค่ขึ้นมารับรางวัลก็พอแล้ว แต่พิธีกรก็อดไม่ได้ที่จะนั่งลงเพื่อสัมภาษณ์แชมป์ตัวน้อย
“เด็กน้อยจ๊ะ ขอถามหน่อยได้ไหม หนูอายุเท่าไหร่ทำไมถึงคัดลายมือได้สวยขนาดนี้?” พิธีกรยิ้มหวานราวกับมนุษย์ป้าแปลก ๆ
เสี่ยวเป่าตอบอย่างน่ารัก: “เพราะผมฝึกฝนกับท่านอาจารย์อยู่นานมาก ท่านอาจารย์เข้มงวดมาก”
“น่ารักจัง ขออุ้มหนูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?” พิธีกรถือโอกาสใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
เสี่ยวเป่าคิดอย่างเอาจริงเอาจังแล้วตอบอย่างไม่เต็มใจ: “ได้ครับ อุ้มได้”
พิธีกรผู้โชคดีอุ้มเขาขึ้นและไม่ยอมปล่อยอยู่นานอีกทั้งยังพูดจาแปลก ๆ กับผู้คนด้านล่าง “ช่างเป็นเด็กที่เก่งเหลือเกิน จนฉันอยากจะขโมยกลับบ้าน”
เสี่ยวเป่ารีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวและมองเธออย่างระแวดระวังจนทำให้ผู้ชมหัวเราะด้วยความหวังดี