ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! - บทที่937 สถานการณ์ตึงเครียด
พอมาถึงโรงพยาบาล เจียงสื้อสื้อก็เห็นพวกน้าชายอยู่ที่นั่นหมดเลย
สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึมมาก แต่เธอรู้ดีกว่า คนบางคนไม่ได้กังวลเรื่องคุณท่านที่อยู่ในห้องผ่าตัดจริงๆ หรอก
“สื้อสื้อ พวกเธอมาแล้ว”น้าสะใภ้เล็กซ่างหยิงรีบเดินเข้ามาต้อนรับ
“น้าสะใภ้เล็ก”
ซ่างหยิงร้องไห้จนตาแดง เธอเช็ดน้ำตาไปด้วยและพูดว่า “ลำบากพวกเธอต้องรีบมาเลย ตอนนี้คุณตาของเธอยังอยู่ข้างใน เป็นตายยังไม่แน่นอน”
“คุณตาเป็นคนที่ดวงดี เขาจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน”
เจียงสื้อสื้อจับมือของเธอแน่น ตอนนี้พวกเธอไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ทำได้แค่ปลอบกันและกันไป
ยังอยู่ระหว่างการผ่าตัด คนของตระกูลฟางทั้งเด็กและแก่ก็ต่างรออยู่ด้านนอก ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น บรรยากาศตึงเครียด
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น
“ฟางเฉิง แกเป็นผู้ชายอยู่รึเปล่า? ถ้าเกิดว่าแกไม่พูด ฉันจะพูดเอง”
คนที่พูดคือน้าสะใภ้ใหญ่ของเจียงสื้อสื้อ หลินหลาน
หลังจากตะโกน เธอก็ทำท่าทางเหมือนจะพูด
“หุบปากเลย!”ฟางเฉิงตะคอก “นี่มันเวลาอะไรกัน เธอยังมีอารมณ์จะพูดเรื่องนั้นอีกเหรอ? ”
“แล้วทำไมฉันจะพูดไม่ได้? นี่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอี้หมิง พูดไม่ได้ก็จะพูด!”
“เธอพูดไม่ได้ก็คือพูดไม่ได้!”
เห็นทั้งสองคนทะเลาะกัน ฟางเถิงดุว่า “ทั้งสองคนเงียบเดี๋ยวนี้นะ!พ่อยังถูกช่วยชีวิตอยู่ด้านใน พวกแกจะมาทะเลาะอะไรกัน? ”
หลินหลานยังอยากจะพูดอะไรต่อด้วยความไม่พอใจ แต่ในตอนนี้เอง ฟางอี้หมิงก็ดึงเธอไว้ และโน้มน้าวว่า “แม่ มีเรื่องอะไรก็รอให้คุณปู่ผ่าตัดเสร็จก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ อย่าพึ่งรีบร้อนเลย”
น้าสะใภ้รองเฉินหยุนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้ยินดังนั้น ก็เยาะเย้ย “พี่สะใภ้ นี่กำลังแสดงละครเวทีเรื่องอะไรอยู่เหรอ? ทำไมฉันดูไม่เข้าใจเลย? ”
“น้องชายรอง ในเมื่อไม่เข้าใจก็หุบปากไปเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าหลินหลานกำลังโกรธ เธอมองฟางเฉิงด้วยสายตาที่รุนแรง แล้วก็กรีดร้อง “ขยะ!”
ฟางเฉิงที่ถูกภรรยาด่าในที่สาธารณะแบบนี้ ก็รู้สึกเสียหน้า กองไฟก็เกิดขึ้นดัง “พึบ”ในใจทันที
“ทำไมผู้หญิงอย่างเธอถึงได้ชอบสร้างปัญหาอย่างไม่มีเหตุผลด้วย? ตอนนี้พ่อยังนอนอยู่ด้านใน ฉันยังจะมีหน้ามาบอกให้เขามอบฟางซื่อกรุ๊ปให้อี้หมิงอยู่ยังงั้นเหรอ? แบบนี้คนอื่นจะคิดกับฉันยังไง?!”
พอฟางเฉิงพูด ทุกคนก็อึ้งไปเลย
น้าชายรองฟางรุ่ยตอบสนองก่อนเป็นคนแรก เอ่ยปากถาม “พี่ใหญ่ พี่พูดอะไรน่ะ? พ่อบอกตอนไหนว่าจะยกฟางซื่อกรุ๊ปให้อี้หมิง? ”
เฉินหยุนน้าสะใภ้รองก็ช่วยพูด “ใช่ พี่อย่าฉวยโอกาสตอนที่พ่อเป็นแบบนี้มาพูดเรื่องไร้สาระนะ!”
คู่สามีภรรยาฟางเถิงและฟางยู่เชินสีหน้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นดูแย่ขึ้น
เจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินมองหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ฟางเฉิงอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัย ฟางเฉิงก็ถอนหายใจยาวออกมา “ฉันไม่อยากพูดก็เพราะว่าเดาว่าพวกนายจะคิดแบบนี้ แต่ว่าฉันสาบานกับสวรรค์ได้เลย ว่าฉันพูดเรื่องจริง”
“สาบานต่อสวรรค์ยังงั้นเหรอ? ” ฟางรุ่ยเหยียดหยามมาก “ถ้ายังงั้นฉันก็สาบานต่อสวรรค์ได้เหมือนกัน บอกว่าความจริงแล้วพ่อจะมอบฟางซื่อกรุ๊ปให้เย้นซิน”
“น้องชายรอง ทำไมนาย……”
ฟางเฉิงโกรธมากจนอยากจะโต้กลับ แต่ว่าสุดท้ายเขาก็อดทนไว้ “เรื่องนี้เมื่อคืนพ่อพูดกับฉันเอง ถ้าเกิดว่าฉันกล้าพูดเรื่องโกหก……”
ตอนที่เขาจะสาบานนั้น ก็ถูกฟางอี้หมิง “อารอง อาสามแล้วก็น้องสาว น้องเขย ผมรู้ว่าพวกคุณไม่เชื่อ ผมเองก็ไม่ว่าพวกคุณหรอก แต่ว่า คุณปู่เชื่อใจผม ถึงได้มอบภารกิจสำคัญนี้ให้”
เจียงสื้อสื้อมึนงง
นี่เขาพูดอะไรกัน?
เห็นได้ชัดว่าเข้าใจทุกคำ แต่พอเอามารวมกันแล้ว เธอกลับฟังไม่เข้าใจเลย
เขาเอาหน้าที่ไหนมา กล้าพูดว่าไม่โทษพวกเขา?
“พวกเราไม่เชื่อจริงๆ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือรอให้คุณตาฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เดิมทีเจียงสื้อสื้อกะจะไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าเธอรู้สึกขยะแขยงกับความหน้าด้านของฟางอี้หมิงจริงๆ
“ใช่ มีอะไรก็รอให้พ่อตื่นขึ้นมาก่อนค่อยพูด”ฟางรุ่ยรีบพูดเสริม
ต่อให้ฟางเฉิงบอกว่าเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ก็ไม่สามารถทำให้ครอบครัวเป็นไปอย่างที่ต้องการได้
พวกเขาพูดแบบนี้แล้ว ฟางอี้หมิงก็พูดอะไรไม่ได้อีก เขามองเจียงสื้อสื้อ สายตาแฝงไปด้วยความโหดร้าย
นึกว่าเรื่องต่างๆ ได้จบลงแล้วในตอนนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าน้าสะใภ้ใหญ่หลินหลานจะตะคอกออกมาอย่างไม่พอใจ “นี่พวกเธอกำลังรังแกคนอยู่ รู้ตัวไหม
พวกเธออิจฉาที่คุณท่านให้อี้หมิงเป็นผู้สืบทอด ก็เลยไม่ยอมรับความจริง”
“อิจฉา? ”น้าสะใภ้รองเฉินหยุนหัวเราะเยาะเย้ย “พี่สะใภ้ คุณท่านมีอี้หมิงเป็นหลานชายคนเดียวยังงั้นเหรอ? ยังมีเย้นซิน เย้นซิงแล้วก็ยู่เชินอีกไม่ใช่เหรอ? พวกพี่มาพูดลมๆ แล้งๆ ว่าคุณท่านบอกจะยกฟางซื่อกรุ๊ปให้อี้หมิง ก็เอาหลักฐานมาแสดงสิ จะอาศัยปากของครอบครัวพี่สามคนมาหลอกพวกเรายังงั้นเหรอ? ”
ซ่างหยิงที่เงียบอยู่นานก็พูดเหมือนกัน “ใช่ พี่สะใภ้ ถ้าเกิดว่ามีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง พวกเราทุกคนก็พูดอะไรไม่ได้หรอก”
หลินหลานชำเลืองมองพวกเขาอย่างเย่อหยิ่งและพูดอย่างเย็นชา “ใช่ คุณพ่อมีหลานหลายคน แต่ในบรรดาพวกเขา คนที่ดีที่สุดคืออี้หมิง คุณพ่อจะทำแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ประโยคนี้ทำให้เฉินหยุนไม่พอใจ เขาตอบกลับไปโดนตรง “ดีที่สุดยังงั้นเหรอ? ไม่กลัวว่าอดไปแล้วข้างในจะกลวงเหรอ ฉันจะบอกอะไรให้นะพี่สะใภ้ อี้หมิงกับเย้นซินมีความสามารถเท่าเทียมกัน ไม่มีใครดีกว่าใคร!”
“น้องชายรอง อย่าลืมนะ อี้หมิงของพวกเราเคยได้ร่วมมือกับSAกรุ๊ป แล้วเย้นซินล่ะเคยไหม? ”
สีหน้าของหลินหลานดูเหนือกว่า เอาเรื่องที่เคยร่วมมือกับSAกรุ๊ปมาพูด
พอพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เฉินหยุนก็สีหน้ามืดมนไปในทันที
ข้อนี้ เย้นซินแพ้จริงๆ
เฉินหยุนไม่พอใจ สายตามองไปที่ฟางยู่เชินที่อยู่ข้างๆ ดวงตาก็แหลมคมขึ้นมาทันที
“งั้นเหรอ? ฉันจำได้เหมือนกับว่าเมื่อวานยู่เชินเองก็ร่วมมือกับจิ้นกรุ๊ปเมื่อกัน มันเป็นเรื่องเมื่อวาน แล้วอีกอย่างในการประชุมเมื่อวาน พ่อก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าตัวเองชอบยู่เชิน”
ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะว่าจะข่มบ้านใหญ่ เฉินหยุนก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้เลยจริงๆ
ไม่พูดไม่ได้ว่า ไม่ใช่แค่ลูกชายของเธอ แต่ว่าแม้แต่ฟางอี้หมิงก็ยังพ่ายแพ้ให้ฟางยู่เชิน
หลินหลานพูดไม่ออก
ฟางอี้หมิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “น้าสะใภ้รองครับ ในการประชุมคณะกรรมการเมื่อวานนี้คุณปู่ได้กล่าวไว้จริงๆ แต่ว่าเมื่อวานท่านเรียกผมไปที่ห้องทำงาน แล้วก็คุยกับผมอยู่นาน สุดท้ายก็แสดงท่าทีว่าจะมอบฟางซื่อกรุ๊ปให้กับผม”
ประโยคนี้เขาพูดได้อย่างจริงใจมาก
ถ้าเกิดไม่รู้ว่าเขา และพ่อแม่ของเขาเป็นคนยังไงนั้น เจียงสื้อสื้อก็คงจะเชื่อไปแล้ว
“เหลวไหล!”ฟางรุ่ยพูดคำหยาบคายออกมา “ฉันจะบอกอะไรให้นะ พวกนายอาศัยโอกาสตอนที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพ่อ อยากจะยึดครองฟางซื่อกรุ๊ป”
“อะไรที่เรียกว่ายึดครอง? อี้หมิงคือทายาทที่คุณพ่อเลือกเองกับมือ ถ้าพวกนายรับไม่ได้ก็กลั้นเอาไว้แล้วกัน!”
ท่าทางที่ว่าใครก็ต้องเชื่อฟังตัวเองของหลินหลานนั้น ทำให้เฉินหยุนโมโหขึ้นในทันที
“พี่สะใภ้ พี่ช่างหน้าด้านจริงๆ เลยนะ เรื่องไร้สาระแบบนี้ยังกล้าพูดออกมาได้ ฉันจะบอกอะไรให้นะ วันนี้ฉันไม่มีทางเชื่อหรอก!”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ”หลินหลานไม่ยอมด้อยกว่า ทันใดนั้นสถานการณ์ก็ตึงเครียดขึ้นทันที
สุดท้าย คนสองคนทะเลาะกันเพราะเหตุการณ์นี้ สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้มาก
“พวกคุณสร้างเรื่องพอรึยัง? ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ? ”
ฟางยู่เชินที่เอาแต่เงียบตลอดนั้นสุดท้ายก็ทนไม่ไหวแล้ว