ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 475
บทที่ 475 เก่งกว่านิดหน่อย
พอเฉินเฟิงออกไป หวู่เหวินเชี่ยนที่เก็บกักความโกรธไว้เต็มท้องได้ทีระบายใส่ตัวหวู่เหวินโป๋รัวเลย
“หวู่เหวินโป๋ ไอ้คนไม่ได้เรื่องเอ๊ย! ต้องเอาใจเจ้าบ้านั่นขนาดนี้เลยหรือไงหา?!”
“พี่ ดูพี่พูดซะ ผมเอาใจอะไรล่ะ ผมแค่พยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ต่างหาก” หวู่เหวินโป๋มองบน หวุ่เหวินเชี่ยนอะไรก็ดี เสียอย่างเดียวคือตรงเกินไป บางทีอาจเพราะเข้าไปฝึกฝนในมหาปรมาจารย์ด้านกระบี่ตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอไม่เข้าใจเรื่องธรรมดาของคนพวกนี้เอาซะเลย
ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะทำตามใจตัวเองก่อนเสมอ
ถ้าใช้คำพูดหนึ่งมาอธิบายก็คือ ไม่สนความเป็นตาย ไม่ยอมก็สู้ อยากให้ฉันพยายามเอาใจนาย ประจบนายหรอ?
ขอโทษนะ เป็นไม่ได้หรอก!
คนที่ออกมาจากมหาปรมาจารย์ด้านกระบี่ นิสัยแบบนี้เหมือนกันหมด
หวู่เหวินโป๋รู้มานานแล้ว
“ความสัมพันธ์อันดี? เมื่อวานเจ้านั่นตบนายหน้าบวมหน้าเชียว ตอนนี้นายบอกฉันเพื่อความสัมพันธ์อันดี?” หวู่เหวินเชี่ยนทำท่าเหมือนโกรธจนหายใจแทบไม่ออก วันนี้เธอพึ่งมาถึงจงไห่ ตอนเห็นใบหน้าเขียวบวมปูดของหวู่เหวินโป๋ เธอแทบจำเขาไม่ได้เลย
เธอไม่คิดเลยว่า หวู่เหวินโป๋ที่ปกติกร่างไม่สนใจใครจะมีวันที่โดนตบจนหน้าบวมหน้าเขียวแบบนี้
ในฐานะพี่สาว หวู่เหวินเชี่ยนต้องออกหน้าให้น้องชายตัวเองอยู่แล้ว เดิมเธอคิดจะไปหาเรื่องเฉินเฟิงเช้านี้เลย แต่หวู่เหวินเฉินอิงห้ามเธอไว้
เหตุผลที่ห้ามเธอนั้นง่ายมาก คนที่ตบหวู่เหวินโป๋เป็นคนตระกูลเฉิน ตระกูลหวู่เหวินหาเรื่องไม่ไหวหรอก
ตอนนั้นเธอโกรธแทบไฟลุก ลูกหลานตระกูลเฉินแล้วยังไงล่ะ ลูกหลานตระกูลเฉินนึกอยากทำร้ายใครเมื่อไหร่ก็ได้หรือไง?
“พี่ ผมบอกพี่แล้วไม่ใช่หรอไง ที่ผมโดนตบจนเป็นแบบนี้เพราะผมทำผิดก่อน ผมไม่เพียงท้าทายพี่เฟิง ยังหานักฆ่าไปลอบฆ่าพี่เฟิงด้วย ผมทำสองเรื่องนี้ พี่เฟิงไม่ฆ่าผมก็ถือว่าดีมากแล้วนะ แค่ตบผมไม่กี่ฉาดจะทำไมล่ะ” หวู่เหวินโป๋พูดอย่างจริงจัง โดนเฉินเฟิงสั่งสอนไปครั้งนี้ทำให้เขาเปลี่ยนไปเหมือนได้เกิดใหม่เลย
เมื่อก่อนเขากร่างไม่สนใจใคร พอครั้งนี้เจอเฉินเฟิงถึงได้รู้จักคำว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อย่างแท้จริง
บางทีในสายตาหวู่เหวินเชี่ยน เขาทำเรื่องพวกนี้เพราะอยากประจบเฉินเฟิง แต่มีเขาแค่คนเดียวที่รู้ว่า เขาอยากกลับตัวจริงๆ
“เหอะ พูดซะเยอะ นายก็กลัวเจ้านั่นอยู่ดีแหละ” หวู่เหวินเชี่ยนแค่นเสียงหึ ที่จริงเห็นหวู่เหวินโป๋มีการเปลี่ยนแปลง ในฐานะพี่สาวเธอเองก็ดีใจมาก เพียงแต่เธอยังรับไม่ค่อยได้เท่านั้นว่า หวู่เหวินโป๋ที่เคยเย่อหยิ่งขนาดนั้นกลับแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนซะขนาดนี้ต่อหน้าชายหนุ่มอีกคน
“พี่ ผมกลัวพี่เฟิงมันไม่แปลกไม่ใช่หรอ? พี่ไม่ได้เห็น วันนั้นฉากที่พี่เฟิงลงมือที่หน้าวิลล่าตุงกง ปืนสองกระบอกอยู่ในมือพี่เฟิงไม่ถึงหนึ่งวินาทีก็กลายเป็นก้อนขยะสองก้อน เป็นพี่พี่ทำได้ไหมล่ะ?” หวู่เหวินโป๋พูดอย่างอิจฉาเล็กๆ
“ได้!” หวู่เหวินเชี่ยนเชิดคอแข็ง พูดแทบจะไม่คิดเลย เธอไม่ยอมโดนหวู่เหวินโป๋ดูถูกหรอก ต่อให้ทำไม่ได้ก็ต้องบอกได้
“ได้กับผีน่ะสิ พี่ อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าความสามารถพี่น่ะแค่ไหนนะ” หวู่เหวินโป๋ยิ้มหยัน ไม่ไว้หน้าหวู่เหวินเชี่ยนสักนิด ถึงหวู่เหวินเชี่ยนจะฝึกฝนอยู่ที่มหาปรมาจารย์ด้านกระบี่ตั้งแต่เด็ก แต่ฝีมือหวู่เหวินเชี่ยนในตอนนี้ยังเป็นระดับต้นอ้านจิ้งแค่นั้นเอง
คนระดับต้นอ้านจิ้งอยากจะขย้ำปืนสองกระบอกเป็นก้อนขยะในพริบตา เรียกได้ว่ายากซะยิ่งกว่ายากอีก
“นาย…ต่อให้ตอนนี้ฉันทำไม่ได้ อนาคตก็ต้องทำได้อยู่ดี” หวู่เหวินเชี่ยนยังคงไม่ยอมแพ้ เธอมักรู้สึกว่า ตอนนั้นเฉินเฟิงใช้ทริคหรือไม่ก็อาศัยแรงใครถึงทำให้ปืนสองกระบอกกลายเป็นก้อนขยะในพริบตาได้ อาศัยแค่แรงเขาคนเดียวไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว
“งั้นรอพี่ทำได้ก่อนค่อยว่ากันละกัน”
หวู่เหวินโป๋หัวเราะร่า ถึงหวู่เหวินเชี่ยนจะเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากคนหนึ่ง แต่จะทำได้แบบเฉินเฟิง น่ากลัวต้องพยายามอีกสิบกว่าปีเลยล่ะ
“ลุงอิง ทำไมเมื่อกี้ลุงปล่อยหมอนั่นเข้ามาล่ะ?” เถียงสู้หวู่เหวินโป๋ไม่ได้ หวู่เหวินเชียนเลยเบนสายตาไปไล่เบี้ยจอมยุทธ์วัยกลางคนแทน
ชื่อเต็มของจอมยุทธ์วัยกลางคนคือตู้ไห่อิง เป็นบอดี้การ์ดที่มหาปรมาจารย์ด้านกระบี่จัดหามาให้เธอ
อัจฉริยะปรมารจารย์ด้านกระบี่อย่างเธอจะไปไหนมาไหน ทางสำนักต้องจัดหาบอดี้การ์ดสักสองคนที่มีแดนสูงกว่าเธอมาอยู่แล้ว
แดนวิทยายุทธ์ของตู้ไห่อิงคือระดับกลางอ้านจิ้ง และเพราะฝึกฝนด้านหลังภายในมาด้วย ทำให้ฝีมือที่แท้จริงของเขาเหนือกว่าคนระดับกลางอ้านจิ้งเหมือนกันมากนัก ต่อให้เป็นระดับปลายอ้านจิ้งเขาก็สู้ไหว
เมื่อกี้เธอให้ตู้ไห่อิงเฝ้าประตูไว้ ตามหลักแล้วเฉินเฟิงไม่น่าจะมีโอกาสเข้ามานี่นา แต่เฉินเฟิงกลับเข้ามาเดินเล่นในจัมโบ้เก๋อหน้าตาเฉย
“คุณหนู คนเมื่อกี้ผมไม่ได้ปล่อยเข้ามานะครับ เขาเข้ามาเองต่างหาก” ตู้ไห่อิงยิ้มขืนอย่างเหนื่อยใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่า เฉินเฟิงหลบหมัดเขาอย่างง่ายดายได้ยังไง ถึงเขาจะใช้แรงไม่ถึงหนึ่งในสิบ แต่ไม่ว่ายังไงเฉินเฟิงไม่น่าจะหลบง่ายดายขนาดนั้นนี่นา
“เข้ามาเอง?” หวู่เหวินเชี่ยนอึ้ง พลางว่า: “ลุงหมายความว่าลุงห้ามเขาไว้ไม่อยู่?”
“เอ่อ…ไม่ใช่ห้ามไม่อยู่ แต่ จะพูดยังไงดีล่ะ ผู้ชายคนเมื่อกี้แปลกมาก…” ตู้ไห่อิงเล่าเหตุการณ์เมื่อกี้ให้ฟัง เพียงแต่อยู่ต่อหน้าหวู่เหวินเชี่ยน เขาไม่สามารถยอมรับได้ว่า ตัวเองสู้เฉินเฟิงไม่ได้ ได้แต่บอกว่าตัวเองเผลอไป ถึงได้ให้เฉินเฟิงเข้ามาได้
พอได้ยินคำอธิบายของตู้ไห่อิง หวู่เหวินเชี่ยนผงกหัวเล็กน้อย ที่แท้ตู้ไห่อิงเผลอเรอนี่เอง ถึงทำให้เฉินเฟิงเข้ามาได้ ไม่ใช่ว่า ฝีมือของเฉินเฟิงเก่งจนตู้ไห่อิงต้านทานไม่อยู่
“ลุงอิง ลุงว่าฉันกับหมอนั่นใครเก่งกว่ากัน?” หวู่เหวินเชี่ยนอดไม่ไหวถามออกไป
เห็นท่าทางจริงจังของหวู่เหวินเชี่ยนแล้ว ตู้ไห่อิงรู้สึกเหงื่อตก เขามีหรือจะดูไม่ออกว่า หวู่เหวินเชี่ยนจะแข่งกับเฉินเฟิงให้ได้ ถ้าเขากล้าบอกว่าหวู่เหวินเชี่ยนเก่งกว่าเฉินเฟิง หวู่เหวินเชี่ยนคงกลับหลังหันตามไปหาเรื่องเฉินเฟิงทันทีแน่
“คุณหนู…เท่าที่ดูแล้วเนี่ย ฝีมือหมอนั่นเก่งกว่าคุณหนูนิดหน่อย” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ตู้ไห่อิงพูดอย่างอ้อมๆ ที่จริงแล้ว ดูจากฝีมือเฉินเฟิงเมื่อกี้ ต่อให้ตัวเขาเองไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฉินเฟิงได้ด้วย ส่วนหวู่เหวินเชี่ยนยิ่งห่างไกลมากนัก
ถ้าไปหาเรื่องเฉินเฟิงจริง เธอคงโดนเฉินเฟิงห้อยหัวตบตีเอาตามใจแน่
แต่คำพูดนี้เขาพูดออกมาตรงๆไม่ได้หรอก ถ้าพูดตามตรงออกมา คงทำให้หวู่เหวินเชี่ยนสูญเสียความมั่นใจแน่ ถ้าหนักกว่านั้นอาจทำให้กำลังใจการฝึกยุทธของหวู่เหวินเชี่ยนโดนผลกระทบไปด้วย
น้ำเสียงนุ่มนวลของตู้ไห่อิง หวู่เหวินเชี่ยนฟังไม่ออก เธอได้ยินแต่เพียงว่า ฝีมือเฉินเฟิงเหนือกว่าเธอนิดหน่อย ถึงจะไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ไม่ใช่รับไม่ได้
หวู่เหวินเชี่ยนเบนสายตาไปทางหวู่เหวินโป๋อีก เธอพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า:
“หวู่เหวินโป๋ ได้ยินหรือยัง? หมอนั่นแค่เก่งกว่าพี่สาวนายนิดหน่อยเอง ขอแค่พี่สาวนายพยายามฝึกอีกหน่อย ก็จะจับหมอนั่นมาห้อยโหนได้ตามใจ นายมีเวลาไปเอาใจหมอนั่น สู้เอาเวลามาเอาใจพี่สาวคนนี้ดีกว่านะ”