ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 510
บทที่ 510 คนโง่
หลังจากเดินวกไปวนมาอยู่พักหนึ่ง คนกลุ่มหนี่งก็มาถึงวิลล่าเดี่ยวสไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง วิลล่าหลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น ด้านนอกมีสวนดอกไม้เล็กๆ
ชายวัยกลางคนเหลือบมองฉู่ยี่เฟยและเฉินเฟิงรวมถึงคนอื่นๆแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็มีสีหน้าลำบากใจ คนที่ฉู่ยี่เฟยพามามีจำนวนไม่น้อยเลย
นอกจากเฉินเฟิงจางเทียนเซอจอมยุทธ์ที่เข้าร่วมการต่อสู้แล้วยังมีบอดี้การ์ดของตระกูลฉู่อีกเจ็ดแปดคน
คนเยอะขนาดนี้เกรงว่าวิลล่าหลังเดียวคงไม่พอ
“เหลือวิลล่าหลังนี้หลังเดียวหรือ?” ฉู่ยี่เฟยเอ่ยถามขึ้นก่อนราวกับรู้ถึงความลำบากใจของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนพยักหน้าตอบก่อนเอ่ย “ขอโทษจริงๆนะครับเหลือวิลล่าหลังนี้แค่หลังเดียวจริงๆ พวกคุณอาจจะต้องเบียดๆกันหน่อยแล้วล่ะ”
“เบียด? คนเยอะขนาดนี้จะเบียดยังไง?” ฉู่ยี่เฟยยังไม่ทันได้เปิดปากพูด หูฉี่ซิงก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแถมน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความไม่พอใจ เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ผู้ทรงเกียรติจะเบียดอยู่กับบอดี้การ์ดตัวเหม็นพวกนี้ได้ยังไง?
“สามารถหาวิลล่าเพิ่มอีกหลังได้ไหม?” ฉู่ยี่เฟยขมวดคิ้วเข้าหากัน หูฉี่ซิงและอีกหลายคนล้วนเป็นความภาคภูมิใจของแต่ละอาณาสำนัก โดยทั่วไปพวกเขาก็มักจะใช้ชีวิตสะดวกสบายกันอยู่แล้วให้พวกเขามาอาศัยเบียดกับคนอื่นพวกเขาจึงไม่มีทางยอม
“ประธานฉู่ เอ่อ……เกรงว่าจะไม่ได้ครับ การต่อสู้ในครั้งนี้มีคนมาเยอะกว่าที่คาดไว้ นอกจากคนของทางการและจอมยุทธ์ของทั้งสองประเทศแล้วยังมีคนที่สนใจจำนวนไม่น้อยเข้ามาด้วย ดังนั้นวิลล่าด้านในจึงเต็มหมดแล้วเหลือแค่หลังนี้หลังเดียว” ชายวัยกลางคนเอ่ย โซนวิลล่ามีวิลล่าทั้งหมดยี่สิบหลัง ทางสมาคมการค้าเชียสุ่ยเหมาไว้ทั้งหมดแล้ว ตอนแรกคาดการณ์ไว้ว่าวิลล่ายี่สิบหลังคงเพียงพอสำหรับคนที่มาเข้าร่วมการต่อสู้แต่คิดไม่ถึงว่ายี่สิบหลังก็ยังไม่เพียงพอ
“ด้านนอกยังมีที่พักอีกไหม?”
ฉู่ยี่เฟยเอ่ยถาม ในนามนั้นเกาะมุ๋ยลายถึงแม้จะเป็นเกาะขนาดเล็กทว่าขนาดพื้นที่จริงนั้นไม่เล็กเลย แค่โซนที่เปิดสำหรับการท่องเที่ยวก็มีขนาดพอๆกับเมืองทางชนบทของหวาเซี่ยแล้ว
ดังนั้นนอกจากโซนวิลล่าแห่งนี้แล้ว บนเกาะต้องมีโรงแรมอื่นอีกแน่นอน
“มีน่ะมีครับ แต่ว่า……” ชายวัยกลางคนเหลือบมองฉู่ยี่เฟยอย่างลำบากใจก่อนเอ่ย “ที่พักเหล่านั้นไม่ได้สะดวกสบายเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังไกลจากวิลล่าด้วย ถึงแม้จะขับรถไปก็ยังต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง”
“เสี่ยวอู่ นายพาพวกเขาออกไปพักด้านนอก พรุ่งนี้ตอนเริ่มการต่อสู้พวกนายค่อยมาที่นี่” ฉู่ยี่เฟยหันไปมองบอดี้การ์ดด้านหลังก่อนจะบอกกับคนที่เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ด เรื่องมาจนถึงขั้นนี้แล้วคงต้องให้บอดี้การ์ดของตระกูลฉู่ออกไปอยู่ด้านนอกถึงจะแก้ปัญหาข้อนี้ได้
“ครับประธานฉู่”
เสี่ยวอู่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าเย็นชา เขาไม่มีความเห็นใดๆกับการตัดสินใจของฉู่ยี่เฟย
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวอู่กำลังจะพาพวกบอดี้การ์ดจากไป ขณะนั้นเองเฉินเฟิงก็ใจกระตุกพลางเอ่ยขึ้น “รอก่อน ฉันไปกับพวกนายด้วย”
“ไปด้วยงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฟยฉู่ยี่เฟยก็อึ้งไปพร้อมกับมีสีหน้าแปลกใจ “เสี่ยวเฟิง นายจะออกไปอยู่ด้านนอกหรือ?”
“ครับ” เฉินเฟิงพยักหน้าเบาๆก่อนเอ่ยแกมหัวเราะ “พี่ฉู่ ตอนกลางคืนผมฝึกวิชาเป็นกิจวัตรอยู่ที่วิลล่านี้อาจจะรบกวนคนอื่นๆได้ ดังนั้นผมเลยอยากออกไปอยู่ด้านนอกกับพวกเสี่ยวอู่”
ตอนกลางคืนฝึกวิชาเป็นกิจวัตรอย่างงั้นหรือ?
ฉู่ยี่เฟยมีสีหน้าแปลกใจ คำตอบของเฉินเฟิงทำไมฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง?
“ก็ได้ นายออกไปอยู่ด้านนอกกับพวกเสี่ยวอู่เถอะ แต่ว่าพรุ่งนี้เช้านายต้องมาให้ตรงเวลานะ” ตอนแรกฉู่ยี่เฟยอยากจะรั้งไว้แต่เขาก็เปลี่ยนใจ
ที่เฉินเฟิงทำแบบนี้อาจจะเพราะมีความลับที่ต้องการปกปิดไว้ อาศัยอยู่กับพวกจางเทียนเซอความลับอาจจะแตกได้ง่าย ดังนั้นหากเขาเอ่ยรั้งไว้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี
“พี่ฉู่วางใจได้ครับ พรุ่งนี้เช้าผมจะรีบมา” เฉินเฟิงยิ้มจางๆ ความจริงแล้วฉู่ยี่เฟยเดาไม่ผิด ที่เขาบอกว่าตอนกลางคืนต้องฝึกวิชาเป็นกิจวัตรเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
ที่เขาต้องออกไปอยู่ด้านนอกก็เพราะคำพูดประโยคหนึ่งของชายวัยกลางคน ‘วังโฉงหยางพาคนออกไปเที่ยว’
หากเขาเดาไม่ผิด วังโฉงหยางที่ชายวัยกลางคนกล่าวถึงความจริงแล้วเป็นหัวหน้าทีมต่อสู้ครั้งนี้ของตระกูลวัง
เฉินเฟิงไม่รู้จักวังโฉงหยางแม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็น แต่ชื่อวังโฉงหยางกลับสลักลึกอยู่ในใจเขา
เพราะว่าวังโฉงหยางมีส่วนเกี่ยวข้องกับการขาขาดของเสี้ยเว่ยกั๋ว!
จากคำบอกเล่าของหวางหงอี้ ช่วงวัยหนุ่มเขาและเสี้ยเว่ยกั๋ววิ่งเรืออยู่ในจงไห่ ตอนนั้นตระกูลวังควบคุมการค้าขายเกือบสองในสามของจงไห่
หวางหงอี้และเสี้ยเว่ยกั๋วเพิ่งมาที่จงไห่ใหม่ๆยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่นัก พวกเขาไม่รู้กฎเกณฑ์ที่ว่าการวิ่งเรือในจงไห่ต้องรายงานตระกูลวังก่อนจึงทำให้พวกเขามีเรื่องกับตระกูลวัง
หลังจากนั้นวังโฉงหยางก็พาคนมาหาถึงบ้านแต่ให้ตายเสี้ยเว่ยกั๋วก็ไม่ยอมรับผิด……
ผลของการไม่ยอมรับผิดก็คือตายสถานเดียว!
แต่เสี้ยเว่ยกั๋วไม่ตาย
เพราะว่าหวางหงอี้ตีเขาจนขาขาด
เฉินเฟิงไม่โทษหวางหงอี้เพราะหวางหงอี้ทำแบบนั้นก็เพื่อรักษาชีวิตของเสี้ยเว่ยกั๋วไว้
แต่วังโฉงหยาง……
เฉินเฟิงไม่โทษไม่ได้!
หากจะหาคนผิดจริงๆการที่เสี้ยเว่ยกั๋วขาขาดก็เป็นเพราะวังโฉงหยาง
ดังนั้นเขาต้องทำให้วังโฉงหยางได้รับผลกรรมที่ทำไว้กับเสี้ยเว่ยกั๋ว
หลังจากเฉินเฟิงออกไป ในวิลล่าจึงเหลือเพียงฉู่ยี่เฟยและพวกของจางเทียนเซอเท่านั้น คนที่เหลือพวกนี้ถึงจะอยู่กันคนละห้องก็ยังเหลือห้องว่าง
หลังจากแบ่งห้องพักกันแล้วหยางเสี่ยนหมิงและหูฉี่ซิงก็ไปเคาะประตูห้องของจางเทียนเซอโดยไม่ได้นัดหมาย
หูฉี่ซิงเข้าห้องมาตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะพลางเอ่ย “รุ่นพี่จาง พี่ว่าคนแซ่เฉินนี่สมองกลับหรือเปล่า? ห้องดีๆที่วิลล่ามีก็ไม่อยู่จะออกไปอยู่โรงแรมเล็กๆกับพวกบอดี้การ์ดให้ได้? ช่างขายหน้าจอมยุทธ์อย่างพวกเราจริงๆ”
จางเทียนเซอนั่งขมวดคิ้วอยู่บนโซฟาโดยไม่ได้พูดอะไร จากที่ได้สัมผัสเฉินเฟิงมาเฉินเฟิงไม่ใช่คนโง่ ที่อีกฝ่ายเลือกออกไปอยู่ด้านนอกเกรงว่าจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง
ส่วนที่เฉินเฟิงบอกว่าฝึกวิชาตอนกลางคืนจะรบกวนพวกเขานั้น……
คำพูดนี้หลอกเด็กอาจจะพอได้ แต่หลอกเขาใครจะเชื่อกัน!
“หูฉี่ซิง นายคิดว่าคนแซ่เฉินเป็นคนโง่หรือ?” ขณะนั้นเองหยางเสี่ยนหมิงก็เอ่ยปากถามอย่างมีความนัย
หูฉี่ซิงปรายตามองหยางเสี่ยนหมิงแวบหนึ่ง “แล้วไม่ใช่หรือ?”
“มีวิลล่าดีๆไม่อยู่จะออกไปอยู่โรงแรมกับบอดี้การ์ด คนปกติที่ไหนเขาทำแบบนี้?”
หยางเสี่ยนหมิงยิ้มจางๆ “หากเป็นอย่างที่นายพูดจริงว่าเขาเป็นคนโง่ นายไม่รู้สึกว่าการที่เขาปรากฏตัวในตระกูลฉู่เป็นเรื่องแปลกหรือ?”
“หมายความว่ายังไง?” หูฉี่ซิงอึ้งไป
“ไม่มีอะไร” หยางเสี่ยนหมิงส่ายหน้าพลางเอ่ย “ฉันแค่คิดว่าฉู่ยี่เฟยไม่มีทางเชิญคนโง่คนหนึ่งมาเข้าร่วมการต่อสู้แทนตระกูลฉู่ อีกอย่างคนโง่คนนี้ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ฝึกเอง”
“ฉู่ยี่เฟยต้องรู้อยู่แล้วว่าในขั้นเดียวกันความสามารถของจอมยุทธ์ฝึกเองด้อยกว่าความสามารถของจอมยุทธ์จากอาณาสำนักอยู่แล้ว”
“แต่ฉู่ยี่เฟยก็ยังเชิญจอมยุทธ์ฝึกเองมา นายคิดว่าเพราะอะไร?”