ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 618
บทที่ 618 ฉันชอบเขา
นักแข่งรถหวาเซี่ยคนหนึ่งและหวู่เหวินโป๋เป็นคนโพสต์กระทู้ทั้งสองนี้ ภายในระยะเวลาสิบกว่านาทีมีการแสดงความคิดเห็นทะลุพัน เกือบทุกคนคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันก็คิดว่าคนเป็นหัวหน้านักแข่งรถกาวลี่อย่างผูชางจวู้นและวงการสนามแข่งรถใต้ดินกาวลี่ช่างทำตัวน่าอายเหลือเกิน!
“ในฐานะหัวหน้านักแข่งรถกาวลี่อย่างผูชางจวู้นกลับไม่เคารพกติกา แพ้ไม่เป็น!”
“ฉันแนะนำว่าวันหลังอย่าไปเข้าร่วมการแข่งขันที่กาวลี่และสนามแข่งขันแต่ละแห่งก็ควรห้ามไม่ให้นักแข่งรถกาวลี่มาเข้าร่วม!”
และยังมีคนแสดงความคิดเห็นทำนองว่าห้ามนักแข่งรถกาวลี่เข้าร่วมรวมถึงการห้ามไปเข้าร่วมการแข่งขันที่กาวลี่ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม
“ฝีมือการขับรถของเฉินเฟิงนักแข่งรถหวาเซี่ยทำไมถึงเจ๋งขนาดนี้?”
“เฉินเฟิงนักแข่งรถหวาเซี่ยและเก๋อเซินนักแข่งอันดับหนึ่งใครเก่งกว่า?”
นอกจากนี้ยังมีคนแปลกใจกับฝีมือการแข่งรถของเฉินเฟิง ขณะเดียวกันก็สงสัยว่าระหว่างเฉินเฟิงและเก๋อเซินใครเก่งกว่ากัน
สำหรับเรื่องพวกนี้เฉินเฟิงไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยสักนิด ทว่าถึงแม้จะรู้เขาก็ไม่ใส่ใจ
หลังจากผูชางจวู้นพาพวกจากไปแล้ว มีจี้หงและหวู่เหวินโป๋อยู่เป็นเพื่อนเฉินเฟิงก่อนที่ทั้งสามจะเดินมุ่งไปยังตึกสามชั้นหลังนั้น
“เฉินเฟิง! เฉินเฟิง!”
เมื่อเห็นเฉินเฟิงเดินมา กลุ่มคนก็กระจายตัวโดยอัตโนมัติจนเกิดทางผ่านแคบๆขึ้นมา นักแข่งรถหวาเซี่ย คนดูในสนามและพนักงานของสนามแข่งรถใต้ดินต่างก็มองเฉินเฟิงด้วยสายตาเคารพนับถือและยกย่อง มีการตะโกนเรียกชื่อเฉินเฟิงราวกับเป็นการต้อนรับการกลับมาของฮีโร่
“พี่เฟิง ทำไมฝีมือการขับรถของพี่ถึงเจ๋งขนาดนี้?”
เมื่อเฉินเฟินกลับมาถึงห้องวีไอพีชั้นสาม ในที่สุดหวู่เหวินโป๋ก็อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
ตอนแรกเขาคิดว่าเฉินเฟิงเก่งแค่ด้านการต่อสู้ ทว่าจากที่เห็นในตอนนี้ฝีมือการแข่งรถของเฉินเฟิงไม่แย่เลยสักนิด หรือจะบอกว่าเก่งที่สุดในโลกก็คงไม่เกินจริง
เมื่อได้ยินคำถามของหวู่เหวินโป๋ จี้หงก็มองเฉินเฟิงด้วยสีหน้าแปลกใจและรอคอย รอให้เฉินเฟิงไขข้อสงสัยนี้
เฉินเฟิงยิ้มฝืดๆ “ตอนเด็กสิ่งเดียวที่ฉันชอบคือรถแข่ง”
“เวลาที่ว่างจากการฝึกการต่อสู้ ฉันมักจะไปฝึกขับรถที่สนามแข่งรถอยู่เสมอ”
“อีกอย่างฉันเป็นจอมยุทธ์ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วปฏิกิริยาและพละกำลังของจอมยุทธ์ก็มากกว่า ในสถานการณ์แบบนี้เร่งความเร็วของรถจนสุดไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“แบบนี้นี่เอง!” หวู่เหวินโป๋เข้าใจในทันที
“ผมคิดว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ของคุณชายเฉินมากกว่า คนที่ฝึกการต่อสู้มีเยอะแยะไปแต่ผมไม่เคยเห็นคนที่เก่งแบบคุณชายเฉินมาก่อน” จี้หงเอ่ยแสดงความคิดเห็น
“แค่เล่นสนุกเท่านั้นแหละ ไม่ถึงกับเป็นพรสวรรค์อะไรหรอก” เฉินเฟิงหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณชายเฉิน สำหรับคุณแล้วอาจจะไม่สำคัญอะไร แต่สำหรับนักแข่งรถหวาเซี่ยอย่างพวกผม คุณคือเทพในใจของพวกเรา! และวันนี้วงการแข่งรถใต้ดินหวาเวี่ยก็ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง เพื่อบันทึกความทรงจำในวันนี้ไว้!”
จี้หงเอ่ยจากใจ ฐานะอย่างเขายังรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ครื้นเครงเป็นอย่างมาก นับประสาอะไรกับนักแข่งรถหวาเซี่ยคนอื่นๆ?
“เป็นวันที่ทั้งหวาเซี่ยควรค่าแก่การฉลองและบันทึกความทรงจำ”
หวู่เหวินโป๋เอ่ยเสริม “ตอนนี้บนโลกอินเทอร์เน็ตคงระเบิดไปแล้ว ไม่เพียงแค่โมเมนต์ เวยป๋อรวมถึงเว็บไซต์ของสำนักใหญ่แต่ละสำนักล้วนรายงานเรื่องที่ผูชางจวู้นคุกเข่ายอมรับผิด ชาวเน็ตตั้งฉายาให้พี่เฟิงว่า—ฮีโร่ชนเผ่า!”
“อย่างฉันไม่ถือว่าเป็นฮีโร่ชนเผ่าหรอก”
เฉินเฟิงส่ายหน้าพลางเอ่ยเสียงเบา “ฮีโร่ชนเผ่าที่แท้จริงคือคนยุคก่อนที่ยอมเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อก่อตั้งหวาเซี่ยใหม่รวมถึงทหารของหวาเซี่ยที่คอยปกป้องประเทศและประชาชนอยู่เบื้องหลังในตอนนี้”
“หากไม่มีคนยุคก่อนก็ไม่มีเราในวันนี้ หากไม่มีทหารก็ไม่มีเราที่สุขสบายในตอนนี้เช่นกัน”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเฉินเฟิง หวู่เหวินโป๋และจี้หงรู้สึกเห็นด้วยอยู่ลึกๆ
ในขณะเดียวกัน
บนน่านฟ้าของสนามบินยันเจียงปรากฏเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งที่บินตรงมาจากอังกฤษ
บนเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสารเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
สองคนในนั้นเป็นหญิงสาวสวยมีผิวขาวราวกับหิมะ จมูกโด่งเป็นสัน ผมสีบรอนด์ทองดวงตาสีฟ้าดึงดูดสายตาผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวทั้งสองคนอายุประมาณยี่สิบสามถึงยี่สิบสี่ปี
หนึ่งในสองคนนี้สวมชุดเดรสสีฟ้าอ่อนผ้าชิฟฟ่อนสไตล์กรีก บนลำคอสวมสร้อยไข่มุก ดูสูงส่งและสง่างาม
ส่วนอีกคนหนึ่งสวมชุดเดรสสีขาวปิดไหล่ กระดูกไหปลาร้าสวยได้รูปวับๆแวมๆ ช่วงล่างของกระโปรงมีการเย็บเปิดขึ้นเล็กน้อยทำให้สองขาเรียวสวยปรากฏแก่สายตา
เมื่อเครื่องบินเข้าสู่น่านฟ้าของยันเจียงแล้ว หญิงสาวที่สวมเดรสสีขาวเปิดไหล่ก็อดที่จะย้ายสายตาไปมองหญิงสาวที่สวมเดรสสีฟ้าอ่อนไม่ได้
“แฮธาเวย์ มีข่าวคราวของเขาหรือเปล่า?” ถึงแม้หญิงสาวที่สวมชุดเดรสสีขาวจะมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวต่างชาติ ทว่าสำเนียงของเธอกลับเป็นสำเนียงหวาเซี่ยแท้ๆ
“เขา?” เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวชุดเดรสขาว แฮธาเวย์ก็ชะงักไปสักพักก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่มี”
“แอนนี่ หวาเซี่ยกว้างขวางเกินไป”
“ทั้งหวาเซี่ยมีประชากรกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคน รู้แต่ชื่อไม่มีทางหาเขาเจอหรอก”
“ฉันรู้ ครั้งนี้ฉันถึงมาหวาเซี่ยด้วยตัวเอง” หญิงสวมชุดเดรสขาวที่ชื่อแอนนี่พยักหน้าเบาๆ มุมปากยกยิ้มจนเกิดเป็นรอยยิ้มสวยงาม
แฮธาเวย์เอือมระอาเล็กน้อย “แอนนี่ ชายชาวหวาเซี่ยคนนั้นสำคัญกับเธอขนาดนั้นเลยหรือ?”
“เธอเป็นถึงเจ้าหญิงของเชื้อพระวงศ์อังกฤษ หากเจ้าชายของแต่ละประเทศรู้ว่าเธอยอมถ่อจากอังกฤษมาถึงหวาเซี่ยเพื่อผู้ชายที่เคยเห็นหน้าแค่ครั้งเดียว เกรงว่าพวกเขาคงโมโหตายเลย”
“พวกเขาจะคิดยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องหาเขาให้เจอ……” แอนนี่เอ่ยอย่างมุ่งมั่น ถึงแม้เธอจะเคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแค่ครั้งเดียว ทว่าเธอจำได้ไม่เคยลืม!
“แอนนี่ เธอเคยคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งไหม” ฉับพลันแฮธาเวย์ก็เอ่ยถามขึ้นมา
แอนนี่ชะงักไป “ความเป็นไปได้อะไร?”
“ผู้ชายชาวหวาเซี่ยคนนั้นแต่งงานแล้ว” แฮธาเวย์เอ่ยอย่างจริงจัง
“แอนนี่ เธอเจอเขาเมื่อแปดปีก่อนแล้วนะ”
“แปดปีก่อน ผู้ชายคนนั้นคงอายุประมาณสิบหก ผ่านไปแปดปี ตอนนี้เขาคงอายุประมาณยี่สิบสี่แล้ว”
“ยี่สิบสี่ปี สำหรับชาวหวาเซี่ยเป็นช่วงวัยที่ต้องสร้างครอบครัวพอดี”
“ถ้าเขาแต่งงานแล้ว เธอจะทำยังไง?” แฮธาเวย์มองหน้าแอนนี่พลางเอ่ยถาม
“แต่งงานแล้วงั้นหรือ?” แอนนี่ขมวดคิ้วมุ่น “ชายชาวหวาเซี่ยมีภรรยาสองคนไม่ได้หรือ?”
แฮธาเวย์หมดคำพูด “แอนนี่ เธอเป็นถึงเจ้าหญิงของราชวงศ์อังกฤษ จะใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง”
“เจ้าหญิงของราชวงศ์แล้วยังไง? เจ้าหญิงของราชวงศ์ใช้ผู้ชายร่วมกับผู้หญิงอื่นไม่ได้หรือ?”
แอนนี่เบะปาก “ฉันไม่สน ครั้งนี้ฉันต้องเจอเขาให้ได้”
“ถึงเขาจะแต่งงานไปแล้ว ฉันก็จะบอกเขาว่าฉันชอบเขา”
“เอาเถอะ เดี๋ยวลงจากเครื่องแล้ว ฉันจะให้ทางการของหวาเซี่ยช่วยเธอตามหา แต่เธอก็อย่าคาดหวังมากล่ะยังไงเวลาก็ผ่านไปแปดปีแล้ว ตอนนี้เขาจะยังอยู่ที่หวาเซี่ยหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” สุดท้ายแฮธาเวย์ก็พ่ายแพ้ให้กับแอนนี่
เธอรู้ว่าครั้งนี้หากเธอไม่ช่วยแอนนี่ตามหาผู้ชายคนนั้น เกรงว่าทั้งชีวิตนี้แอนนี่คงปล่อยวางเรื่องนี้ไม่ได้