ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 664
บทที่ 664 เทียนซาน
เทียนซานเป็นหนึ่งในเจ็ดภูเขาที่สำคัญของโลก ตั้งอยู่ในดินแดนห่างไกลของยูเรเซีย ตะวันออกและตะวันตกทั่วทั้งสี่ประเทศล้อมรอบหวาเซี่ย เป็นเขตภูเขาอิสระที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังเป็นเขตภูเขาที่อยู่ห่างจากมหาสมุทรมากที่สุดในโลกและเป็นเขตภูเขาที่มีพื้นที่แห้งแล้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในหวาเซี่ย เทียนซานถูกขนานนามว่าภูเขาหิมะ มีหิมะตกตลอดทั้งปี คนในท้องถิ่นต่างก็เรียกอีกอย่างว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ มีตำนานเรื่องเล่ามากมาย อย่างเช่นวัดซีหวังหมู่
นอกจากนี้ เทียนซานมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยมาตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบัน
ทั้งหมดนี้ เพราะมีสำนักกระบี่เทียนซาน
สำนักกระบี่เทียนซานเป็นหนึ่งในสำนักที่แข็งแกร่งที่สุด ในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยมาตลอด เพียงเพราะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก ไม่ค่อยเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ การถ่ายทอดก็มีค่อนข้างน้อย แต่ก็เคยมี เจ็ดกระบี่เทียนซาน ที่เคยมีอิทธิพลสั่นสะเทือน ในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ย
หลังจากเข้าสู่ยุคปัจจุบัน สำนักกระบี่เทียนซานก็เงียบหายไป นอกจากผู้อาวุโสปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ น้อยคนมากที่จะรู้ที่อยู่ของพวกเขา
ตอนรุ่งเช้า ดวงอาทิตย์สีแดงโผล่ขึ้นมา แสงยามเช้าพาดผ่านขอบฟ้าตะวันออกและตะวันตก แสงรำไรสาดส่องบนภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอย่างต่อเนื่อง เหมือนดั่งแผ่นทองคำปกคลุมหิมะสีขาวเป็นชั้นๆ งดงามยิ่งนัก
ครึ่งภูเขาของภูเขาหิมะทั้งลูก มีบ้านไม้บางส่วนถูกสร้างอยู่ในนั้น หลบซ่อนอยู่ในป่าเขา ถูกปกปิดไว้อย่างกลมกลืนมิดชิด แม้จะมองจากที่สูงก็ยากที่จะมองเห็น
นี่คือที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียนซาน มีความเป็นมายาวนานเป็นพันปีแล้ว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก ไม่แย่งชิงแข่งขันกับใคร
ห่างจากสำนักกระบี่เทียนซาน บนยอดเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง ห่างจากสำนักไปสิบกิโลเมตร ผู้ชายชุดขาว นั่งขัดสมาธิบนก้อนหิน หลับตาสนิท สูดลมหายใจในยามเช้า หน้าอกเป็นเหมือนคางคกหายใจเข้า หายใจเข้า หายใจออก อย่างแปลกประหลาด
กระบี่ล้ำค่าสีดำเล่มหนึ่งวางอยู่ด้านข้างเขา ฝักกระบี่เป็นสีดำสนิท ด้ามกระบี่สลักรูปนกไว้ เหมือนนกอินทรีย์ และเหมือนหงส์ในวรรณคดี
กระบี่หงส์ เป็นมรดกล้ำค่าของสำนักกระบี่เทียนซาน
เมื่อหลายพันปีก่อน กระบี่เล่มนี้ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าแบบนี้ ต่อมาเคยหักไปครั้งหนึ่ง ได้มีการหลอมขึ้นมาใหม่ หลังจากซ่อมแล้วได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระบี่หงส์ มีความหมายแฝงว่าหงส์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
ตอนนี้ กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้อยู่ในมือชายหนุ่ม แสดงว่าชายหนุ่มมีตำแหน่งสำคัญอยู่ในสำนักกระบี่เทียนซาน
เขาชื่อเทียนอิง เป็นทายาทสำนักกระบี่เทียนซาน
“ฮวา…ฮวา….” ในขณะที่เทียนอิงหลับตาพ่นลมหายใจ รอบๆมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เหมือนเสียงเดินของสัตว์ป่า
ส่วนเทียนอิงเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น เป็นเหมือนดั่งคนจำศีล ไม่ขยับเลยสักนิด
เวลาผ่านไป เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ หม่าป่าสิบกว่าตัวปรากฏรอบๆสี่ทิศ โอบล้อมเข้ามาเทียนอิง
หมาป่ามีนิสัยดุร้าย เป็นสัตว์ป่าที่อยู่กันเป็นฝูง เป็นสัตว์ป่าที่มีบทบาทค่อนข้างสำคัญ มีอยู่ในธรรมชาติ แทบทุกเขตพื้นที่ทั่วโลก
โดยปกติแล้ว หมาป่าตัวเดียวเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าอย่างอื่นไม่มาก แม้แต่คนก็ไม่กลัว แต่หากเจอฝูงหมาป่า แม้แต่เจ้าป่าอย่างเสือก็ต้องถอยหนี
ตอนนี้ หมาป่านับสิบตัวกำลังโอบล้อมเทียนอิง ดวงตาฉายแววอาฆาตดุร้าย
“ฮู้ว…” ทันใดนั้นเสียงหมาป่าก็ร้องดังขึ้น เมื่อหัวหน้าหมาป่าร้อง ออกคำสั่ง
ฝุบๆฝุบ…
ตามด้วยเสียงร้องออกคำสั่งของหัวหน้าฝูง หมาป่านับสิบตัวก็กลายเป็นเหมือนดั่งน้ำไหลเชี่ยว กระโจนเข้าหาเทียนอิงอย่างบ้าคลั่ง เป็นการเริ่มลงมือโจมตี
ฝุบ
และในเวลานี้…เทียนอิงลืมตาขึ้นมาในทันที ดวงตาเป็นประกาย ลมปราณความอาฆาตฉายอยู่ทั่วร่างกายของเขา เขาใช้ร่างกายเป็นจุดศูนย์กลาง มองปกคลุมไปทั่วทิศ
เขาได้ยินเสียงวิ่งของฝูงหมาป่า และก็เห็นความดุร้ายของหมาป่าแต่ล่ะตัว
ภายใต้แสงอรุณยามเช้า เขาหยิบกระบี่ขึ้นมา แต่ไม่ได้ชักออกมา เพียงแค่ค่อยๆยืนขึ้น
เมื่อเขาลุกขึ้น ความอาฆาตที่เปล่งออกมาจากร่างกายของเขากระชับขึ้นมาทันที ทั้งร่างกายเป็นเหมือนดั่งกระบี่ล้ำเลิศที่สุดที่โลกเล่มหนึ่ง คมเฉียบอย่างไร้ที่ติ
เวลาต่อมา หมาป่าทั้งหมดที่จะเข้าใกล้เทียนอิง ล้วนถูกความอาฆาตที่เปล่งออกมาอย่างน่ากลัวของเทียนอิง ทำให้สั่นไหว
พวกมันต่างก็หยุดฝีเท้าลงอย่างไม่ได้นัดหมาย เล็บเท้าแตะพื้น มองดูเทียนอิงอย่างหวาดหวั่น
จากประสบการณ์ที่พวกมันล่าเหยื่อมาตลอดหลายปี พวกมันรู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างที่สุดบนตัวเทียนอิง ทำให้พวกมันหวาดหวั่นอย่างมาก ต่อให้หัวหน้าฝูงได้ร้องออกคำสั่งให้จู่โจมแล้ว ก็ยังไม่กล้าจู่โจม
หลังจากนั้น ภายใต้การจ้องมองของฝูงหมาป่า เทียนอิงถือกระบี่ ก้าวเดินลงจากเขาไป ท่าทีที่สบายใจนั้น เหมือนไม่ได้กำลังถูกฝูงหมาป่าล้อมทำร้าย แต่กำลังชื่นชมทิวทัศน์บนเขา
“ฮู้ว..” เห็นภาพนี้แล้ว ฝูงหมาป่าต่างก็ร้องขึ้นอย่างหวาดหวั่น ไม่เพียงไม่กล้าโอบล้อมเข้าใกล้จู่โจมเทียนอิง กลับถอยหลังออกไปอย่างไม่สามารถควบคุม
“ฮู้ว” ทันใดนั้น หัวหน้าฝูงหมาป่าส่งเสียงร้องเร่ง หมาป่านับสิบตัวหันตัววิ่งไป หนีห่างเทียนอิงไปอย่างรวดเร็ว
คนหนึ่งคน กระบี่หนึ่งเล่ม
เขายังไม่ได้ชักกระบี่ ฝูงหมาป่าก็หวาดกลัวจนถอยหนี นี่คือชีวิตประจำวันของเทียนอิง ทายาทสำนักกระบี่เทียนซานในปัจจุบัน
หลังจากหนึ่งชั่วโมง เทียนอิงกลับมาถึงสำนักกระบี่เทียนซาน แล้วถูกเจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียนซานเรียกตัวไปที่ห้อง
“เสี่ยวเทียน คุณไปเตรียมตัว พรุ่งนี้ออกเดินทางไปยันเจียงพร้อมศิษย์พี่ของคุณ” เจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียนซานพูดขึ้น
“เจ้าสำนัก พวกเราจะออกสู่ยุทธภพแล้วหรือ?” เทียนอิงได้ยินแล้ว แววตาก็เป็นประกาย เขารอวันนี้มานานมากแล้ว
“อืม การแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกจะเริ่มขึ้นแล้ว การแข่งขันในครั้งนี้ แต่ละฝ่ายจะส่งทายาทผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเข้าร่วมแข่งขัน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สำนักกระบี่เทียนซานของพวกเราออกสู่ยุทธภพ” เจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียนซานพยักหัว
“เจ้าสำนักวางใจ ผมจะไม่ทำให้ผิดหวัง จะทำให้สำนักกระบี่เทียนซานโด่งดังในวงการศิลปะการต่อสู้ทั่วโลก” เทียนอิงพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
“อืม” เจ้าสำนักสำนักกระบี่เทียนซานพยักหัวเล็กน้อย หลังจากนั้นก็โบกมือให้เทียนอิงออกไป
เขาไม่ได้พูดอะไรกับเทียนอิง และก็ไม่ได้บอกเทียนอิงเรื่องที่ทายาทตระกูลจิ่งถูกฆ่าตายแล้ว เรื่องพวกนี้สำหรับเขา มันเป็นเพียงส่วนเกิน
เขามีความเชื่อมั่นในตัวเทียนอิงอย่างมาก
……
ในขณะเดียวกัน ตระกูลจี อู่หยีซานตะวันออกเฉียงใต้
ประมุขตระกูลจีก็ได้เรียกจียุ่นทายาทคนปัจจุบันเข้ามาพบ
“คุณไปเตรียมตัว พรุ่งนี้ตามพ่อของคุณไปยังยันเจียง” ประมุขตระกูลจีก็ได้จัดการเช่นนี้เหมือนกัน
“คุณปู่ ท่านให้ผมไปยันเจียง เพื่อชิงตำแหน่งตัวแทนการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกใช่ไหม?”
ที่ไม่เหมือนเทียนอิงก็คือ ถึงแม้จียุ่นจะยังไม่เคยออกสู่ยุทธภพ แต่เพราะตระกูลจีทำธุรกิจไปทั่ว ได้รู้ข่าวคราวในหวาเซี่ย ตลอดจนความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะการต่อสู้ทั่วโลกเป็นอย่างดี
“อืม” ประมุขตระกูลจีพยักหัว
“เฮ้อ…ทายาทตระกูลจิ่งตายแล้ว น่าเสียดายจริงๆ ผมยังคิดว่าหลังจากไปออกสู่ยุทธภพ จะไปหาทายาทตระกูลจิ่งเป็นคนแรก” จียุ่นพูดขึ้นอย่างน่าเสียดาย
ในฐานะที่เป็นตระกูลนักสู้ในวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยเหมือนกัน ตระกูลจีกับตระกูลจิ่ง มีความสัมพันธ์ในฐานะคู่แข่งกันมาตลอด ในอดีตเคยต่อสู้กันถึงสองครั้ง ต่างก็ได้ชัยชนะกันฝ่ายละครั้ง ความโกรธแค้นมีสืบทอดกันมาเป็นพันปี เมื่อได้ออกสู่ยุทธภพ ก็จะอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกัน
“เห้อ นี่ถือการแสดงให้เห็นว่าตระกูลจิ่งไม่มีทายาทแล้ว” ประมุขตระกูลจีหัวเราะเย้ย เรื่องที่ทายาทตระกูลจิ่งถูกเฉินเฟิงฆ่านั้น ทำให้เขายินดีเป็นอย่างมาก
“คุณปู่พูดถูกครับ ทายาทตระกูลจิ่งช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ถูกจอมยุทธ์คนหนึ่งฆ่าตาย ช่างเป็นความอัปยศของตระกูลจิ่ง”
จียุ่นพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน ถึงแม้เขาจะได้ยินชื่อเสียงของเฉินเฟิงผ่านครอบครัว และก็รู้เรื่องราวต่างๆของเฉินเฟิงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เห็นเฉินเฟิงอยู่ในสายตา “ถึงผมจะไม่ได้ฆ่าทายาทตระกูลจิ่งด้วยมือตัวเอง แต่ขอเพียงผมฆ่าคนที่ชื่อเฉินเฟิงคนนั้นได้ ก็เท่ากับว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอไร้ประโยชน์ของตระกูลจิ่ง”