ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 668
บทที่ 668 ศีลสามคนแปลก
“คงจะถึงยันเจียงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และคงจะถึงสหพันธ์บูโดช่วงค่ำ นั่นก็หมายความว่าพวกเราจะถึงก่อน” ก่วนหนานเทียนเอ่ย สำนักงานใหญ่ของสหพันธ์บูโดก็อยู่ที่ภูเขาซีซึ่งห่างจากที่พักของเย่หนานเทียนไม่ไกลนัก หากพวกเขาทั้งสามคนขึ้นรถไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงถึงที่หมาย
ก่วนหนานเทียนขับรถส่วนตัวมา เมื่อทั้งสามคนขึ้นรถแล้วก็มุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่สหพันธ์บูโดพร้อมกัน
สำนักงานใหญ่ของสหพันธ์บูโดตั้งอยู่ในสวนขนาดเล็กของภูเขาซี สวนแห่งนี้เคยเป็นสำนักงานของสถาบันหนึ่งๆ ตอนหลังสถาบันนั้นย้ายออกจากภูเขาซีไปอยู่ในเขตรุ่งเรือง ทำให้สวนแห่งนั้นว่างลงและเปิดเป็นที่สาธารณะ
ปัจจุบันถึงแม้ส่วนแห่งนี้จะเป็นสำนักงานใหญ่ของสหพันธ์บูโด ทว่าไม่มีการแขวนป้ายแต่อย่างใด ยังคงเปิดเป็นที่สาธารณะเหมือนสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ทว่าเนื่องจากที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกล รอบข้างแทบไม่มีที่อยู่อาศัยของผู้คน ถึงแม้จะเปิดเป็นสถานที่สาธารณะก็ยากที่จะพบเห็นคน จะมีก็แต่คนที่ทำงานอยู่บริเวณใกล้เคียงมาเดินเล่นบ้างเท่านั้น พวกเฉินเฟิงขับรถเข้าไปในสวนก่อนจะขับไปตามถนนเส้นเล็กๆจนกระทั่งหยุดอยู่หน้าอาคารเก่าแก่หลังหนึ่ง
อู่จื่อโจวในฐานะหัวหน้าของแผนกบังคับใช้กฎหมายของสหพันธ์บูโด ยืนรอการมาถึงของทั้งสามคนอยู่หน้าอาคารเก่าแก่แห่งนี้ เพราะหลังจากที่ขับรถเข้ามาในสวนแล้ว ก่วนหนานเทียนก็ได้ส่งข้อความแจ้งอู่จื่อโจวไว้ก่อน
เมื่อรถหยุดลง อู่จื่อโจวก็ไม่ได้มีท่าทีวางมาดแต่กลับเป็นฝ่ายปรี่เข้าไปต้อนรับ
ส่วนเฉินเฟิงก็เดินไปยังกระโปรงท้ายรถเพื่อเอารถเข็นก่อน จากนั้นจึงพยุงเย่หนานเทียนลงจากรถ
ตอนที่เย่หนานเทียนถูกผู้แข็งแกร่งอันดับเทพรุมทำร้าย สุดท้ายกระดูกข้อเท้าและเข่าของเขาแตกหักเสียหายจนต้องตัดขาทิ้ง ปัจจุบันขาทั้งสองข้างของเขาล้วนเป็นขาเทียม หากไม่มีไม้เท้าต้องอาศัยคนพยุงเท่านั้น
หืม? เมื่อเห็นเย่หนานเทียนลงมาจากรถ อู่จื่อโจวก็ชะงักฝีเท้า บนใบหน้าปรากฏความประหลาดใจอย่างปิดไม่มิด
เขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้เย่หนานเทียนจะมาด้วย
เนื่องจากวันนี้ไม่เพียงแต่มีทายาทของศาสนาพุทธภาคตะวันตก สำนักกระบี่เทียนซาน ตระกูลจีและหวังอีเตาเท่านั้น คนที่นำทัพมามีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคนที่เคยประชันฝีมือกับเย่หนานเทียนในอดีต หรือก็คือทายาทรุ่นที่แล้วของสี่ขั้วอำนาจ
เช่นนั้นคนที่กลายเป็นคนพิการอย่างเย่หนานเทียนต้องพบเจอกับโจทก์เก่าในวันวาน นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากหรือไม่ก็ต้องปล่อยวางได้ในหลายๆเรื่อง
“ท่านประมุขก่วน ผู้อาวุโสเย่ เฉินเฟิง ยินดีต้อนรับสู่สหพันธ์บูโด” หลังตกอยู่ในภวังค์พักหนึ่ง อู่จื่อโจวก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับ ก่อนจะเอ่ยทักทายก่วนหนานเทียน เย่หนานเทียนและเฉินเฟิง
ขณะที่อู่จื่อโจวทักทายเย่หนานเทียน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความนับถือ
ไม่ผิด……
ถึงแม้ในตอนนี้เย่หนานเทียนจะกลายเป็นคนพิการ เขาก็ยังเคารพเย่หนานเทียนเป็นอย่างมาก! เพราะเขารู้ดีว่าคนที่เคยกดเขาจนกลายเป็นผู้ชายไร้ตัวตน หากไม่ใช่เพราะปกป้องประเทศจนถูกกำจัด ความสำเร็จด้านศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบันไม่ใช่คนที่เขาสามารถเทียบได้อย่างแน่นอน ทว่าจะกลายเป็นคนที่เขาต้องเกรงกลัว
นอกจากนี้หากเขาเป็นเย่หนานเทียนที่ต้องกลายเป็นคนพิการอย่างทุกวันนี้ เขาไม่สามารถมีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างเย่หนานเทียนได้แน่นอน!
“สวัสดี ท่านผู้อาวุโสอู่”
ทั้งสามคนต่างเอ่ยทักทายกลับ เฉินเฟิงและก่วนหนานเทียนเรียกอู่จื่อโจวตามตำแหน่ง ทว่าเย่หนานเทียนทำเพียงแค่ยิ้มบางๆเท่านั้นราวกับคนเป็นเพื่อนเก่าทักทายกัน
“ใช่แล้ว ชั่วพริบตาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว” อู่จื่อโจวถอนหายใจครั้งหนึ่งพลางมองเย่หนานเทียนที่นั่งอยู่บนรถเข็น เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดทว่าไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
“ท่านผู้อาวุโสอู่ เกณฑ์ในการคัดเลือกคนที่จะไปเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกในครั้งนี้คืออะไร?” ก่วนหนานเทียนที่เข้าใจสถานการณ์เอ่ยถามธุระในวันนี้ขึ้นมา เพราะไม่อยากให้อู่จื่อโจวและเย่หนานเทียนเอ่ยถึงเรื่องราวแย่ๆในอดีต
อู่จื่อโจวได้ยินดังนั้นก็กำลังจะเอ่ยปากตอบ ทว่ากลับเห็นรถคันหนึ่งขับตรงมาทางนี้ เขาจึงจำต้องกลืนคำพูดลงไปก่อนแล้วย้ายสายตาไปจับจ้องรถคันนั้นแทน
นอกจากอู่จื่อโจว ก่วนหนานเทียน เย่หนานเทียนและเฉินเฟิงก็หันไปมองเช่นเดียวกัน
ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทั้งสี่คน รถคันนั้นก็ขับเข้ามาด้วยความเร็วก่อนจะจอดต่อท้ายรถส่วนตัวของก่วนหนานเทียน
เพียงแค่แวบเดียวเฉินเฟิงก็เห็นว่าป้ายทะเบียนรถคันนั้นคล้ายคลึงกับป้ายทะเบียนรถของก่วนหนานเทียนอยู่พอสมควร เขาจึงคาดเดาว่ารถคันนั้นคงเป็นรถของทางการหวาเซี่ย
“พระสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ เราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือ? เราจะไปเที่ยวเขตเมืองกันก่อน ทำไมถึงพาฉันมาที่นี่? ไหนพระราชวัง? ไหนกำแพงเมืองจีน? เป็นคนจะทำตัวไร้ยางอายแบบนี้ไม่ได้นะ!” ขณะนั้นเอง ศีลสามก็ลงจากรถแล้วมองสวนที่ไม่เหมือนสวนของพระราชวังเลยสักนิด โดยมองข้ามเฉินเฟิงและอีกสามคนที่เหลือไปเลย เขาบ่นกระปอดกระแปดไม่หยุดเหมือนภรรยาที่บ่นสามีซึ่งไม่เข้ากับการแต่งกายและภาพลักษณ์ของเขาเลยสักนิด จะเรียกว่ากลับกันเลยก็ได้
เนื่องจากวันนี้เขาตั้งใจปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระสงฆ์วัยกลางคน ถอดกาสาวพัสตร์สีดำออกแล้วสวมกาสาวพัสตร์สีแดงอมเหลือง อีกทั้งบนอกยังมีลูกประคำห้อยอยู่ มองไกลๆเหมือนพระในลัทธิเต๋า
“ศีลสาม!” เมื่อได้ยินเสียงบ่นของศีลสาม พระสงฆ์วัยกลางคนก็โมโหเป็นอย่างมาก สีหน้ามืดครึ้มก่อนจะตะโกนออกมา เพื่อห้ามอีกฝ่ายไม่ให้เพ้อเจ้อไปมากกว่านี้
“จะตะโกนทำไม?ห๊ะ พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ นี่นายพาฉันมาที่ที่เขาแข่งศิลปะการต่อสู้ใช่ไหม? พระผู้ยิ่งใหญ่ ฉันจะบอกให้นะ ฉันยังโกรธอยู่ นายทำเกินไปแล้วนะ! การต่อสู้เพื่อแย่งชิงโควตาการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกอะไรกัน ฉันไม่เอาด้วยแล้ว นายจะไปก็ไปเองเลย!”
ศีลสามไม่พอใจเป็นอย่างมาก จะยังสนใจพระสงฆ์วัยกลางคนโมโหอยู่อีกหรือ?
เขาเหลือบมองเฉินเฟิงและอีกสามคนที่เหลือแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนเป็นจอมยุทธ์ก็ใจกระตุกครั้งหนึ่งแล้วเข้าใจอะไรบางอย่าง ฉับพลันก็โมโหยิ่งกว่าพระสงฆ์วัยกลางคนเสียอีก เขาจึงถอดใจไม่เอาแล้วและเตรียมจะหันหลังเดินจากไป
“__” เมื่อเห็นภาพนี้ทั้งอู่จื่อโจว ก่วนหนานเทียน เย่หนานเทียนและเฉินเฟิงต่างก็อึ้งและคิดว่าพระสงฆ์เยาวชนคนนี้เป็นคนสุดแปลก
เมื่อได้ยินคำพูดของศีลสามและเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของทั้งสี่คน พระสงฆ์วัยกลางคนก็ปวดใจ ปวดตับ ปวดไปหมด มุมปากกระตุก เขาพยายามอดทนที่จะไม่พุ่งเข้าไปตบเจ้าเด็กคนนี้ ทำได้เพียงรีบเข้าไปรั้งศีลสามไว้
“ทำไม?”
ศีลสามถลึงตาพ่นลมออกจากจมูกด้วยท่าทีขึงขัง
“ศีลสาม ขอเพียงนายตั้งใจเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ หลังจบการคัดเลือก ฉันจะให้นายเที่ยวเล่นอยู่ในยันเจียงเป็นเวลาสามวัน”
เมื่อเห็นนิสัยดื้อรั้นของศีลสามเริ่มออกลาย พระสงฆ์วัยกลางคนไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น เขากลับกดเสียงต่ำแล้วพยายามเจรจากับศีลสาม
“ครั้งนี้พูดคำไหนคำนั้นใช่ไหม?”
ศีลสามมองหน้าพระสงฆ์วัยกลางคนอย่างชั่งใจ
“คำไหนคำนั้นแน่นอน ฉันสัญญา” พระสงฆ์วัยกลางคนตอบรับก่อนเอ่ย “แต่นายต้องสัญญากับฉันว่าจะทำอย่างเต็มที่!”
“ตกลง!” ศีลสามพยักหน้ายอมรับ พระสงฆ์วัยกลางคนโล่งอกก่อนจะพาศีลสามเดินไปทางที่พวกเฉินเฟิงยืนอยู่
“ท่านประมุขก่วน ท่านผู้อาวุโสอู่ ผู้อาวุโสเย่ ไม่เจอกันนานเลย อามิตตาพุทธ!” พระสงฆ์วัยกลางคนเอ่ยปากขึ้นก่อน ไม่ให้โอกาสก่วนหนานเทียน อู่จื่อโจว เย่หนานเทียนได้มีโอกาสเอ่ยถาม ขณะเดียวกันก็หันไปยิ้มให้เฉินเฟิงเล็กน้อย เรื่องมารยาทนั้นทำได้ดีไม่มีที่ติ