ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 670
บทที่ 670 ศัตรูพบกัน
หลังจากรถคันที่หนึ่งจอดสนิทก็มีชายถือกระบี่สองคนลงมาก่อน หนึ่งในนั้นใส่เสื้อคลุมสีขาวเหมือนจียุ่นทว่ารูปร่างสูงชะลูด ท่าทีสง่างามจนกลบรัศมีจียุ่นไปเลย
เขาไม่ใช่คนอื่นคนไกล เขาคือเทียนอิงทายาทรุ่นปัจจุบันของสำนักกระบี่เทียนซาน!
ส่วนคนที่มากับเทียนอิงคือชางโป๋ทายาทรุ่นก่อนของสำนักกระบี่เทียนซาน
เมื่อเห็นว่าเทียนอิงสวมชุดคลุมสีขาวเหมือนตนแต่กลับดูมีออร่าเหนือกว่า จียุ่นก็เกิดความริษยาในใจ สายตาที่มองไปยังเทียนอิงจึงไม่ชอบใจนัก
เทียนอิงสัมผัสได้ถึงสายตาไม่พอใจของจียุ่นทว่ากลับยิ้มบางๆ ก่อนจะตามชางโป๋เข้าไปทักทายก่วนหนานเทียน อู่จื่อโจวและเย่หนานเทียน
เทียนอิงไม่เพียงแต่มีรอยยิ้มตลอดการทักทายเท่านั้น เขายังให้ความเคารพผู้อาวุโสทุกคนเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่ถูกสอนมาดี ทำให้ผู้พบเห็นต่างชื่นชอบ
นักกระบี่ชุดขาว บุรุษผู้สง่างาม
นี่คือนิยามที่ถูกต้องสำหรับเขา
“คนนี้แข็งแกร่งมาก!”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาทั้งหมดของเทียนอิง เฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ในใจ
เขาคิดมาโดยตลอดว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนๆหนึ่งนั้นอยู่ที่ใจและสัญชาตญาณ ไม่ใช่เปลือกนอก
เพราะว่าความแข็งแกร่งที่เกิดจากเปลือกนอกนั้นจอมปลอม เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคจึงมักต้านทานไม่ได้
ทว่าดูจากท่าทีของเทียนอิงเมื่อสักครู่ สภาวะจิตใจของเขาอยู่ในขั้นสูงมากแล้ว สูงกว่าคนที่หยิ่งยโสในความสามารถของตัวเองอย่างจียุ่น อันตรายกว่าคนไม่เอาไหนอย่างศีลสาม
“นายคงจะเป็นศิษย์น้องของปรมาจารย์เย่ที่ชื่อเฉินเฟิงสินะ?” ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินเฟิง เทียนอิงจึงเดินตรงเข้ามาถามพร้อมรอยยิ้ม
“ใช่” เฉินเฟิงพยักหน้ารับ
“ฉันชื่อเทียนอิงจากสำนักกระบี่เทียนซาน” รอยยิ้มบนใบหน้าของเทียนอิงยังคงมีอยู่เหมือนเดิม “ก่อนหน้านี้ฉันเก็บตัวฝึกการต่อสู้มาโดยตลอด หลังออกจากภูเขาเทียนถึงได้ยินเรื่องราวของนาย ถึงเพิ่งรู้ว่าวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยมีคนอย่างนายอยู่ ถือเป็นเกียรติของวงการศิลปะการต่อสู้หวาเซี่ยจริงๆ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เอ่ยจบเทียนอิงก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกไปจับก่อน
“ชมกันเกินไปแล้วล่ะ” เฉินเฟิงยื่นมือไปจับกับเทียนอิงด้วยท่าทีนอบน้อม
หลังจากปล่อยมือทั้งสองคนก็จับจ้องไปยังรถคันสุดท้ายอย่างไม่ได้นัดหมาย
เมื่อรถจอดสนิท หวังอีเตาก็เดินนำฉู่เหอลงมาจากรถ
ภายแสงอาทิตย์ในยามเช้า ฉู่เหอสวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดถือดาบที่แผ่รังสีแห่งการฆ่าอย่างดาบซวนหยวน บวกกับรังสีที่เกิดจากการฆ่าคนมานับไม่ถ้วน ขับให้เขาดูเหมือนนักฆ่า ให้ความรู้สึกอันตรายถึงขีดสุดแก่ผู้พบเห็น
ซึ่งแตกต่างจากเทียนอิงโดยสิ้นเชิง หลังจากฉู่เหอลงมาจากรถไม่มีการไปทักทายก่วนหนานเทียนและคนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะปรายตามองผู้อาวุโสเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ ทว่าแววตากระหายเลือดนั้นกลับจับจ้องอยู่ที่เฉินเฟิงราวกับเฉินเฟิงคือเหยื่อของเขา ที่ไม่ว่าจะหนีไปไหนก็หนีไม่พ้นผู้ล่าอย่างเขา
เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตานักฆ่าอย่างบ้าคลั่งของฉู่เหอ สีหน้าของเฉินเฟิงก็ยังคงเรียบนิ่งอยู่ทว่าหรี่ตาลงเล็กน้อยซึ่งแสดงถึงความคิดที่แท้จริงของเขา ฉู่เหอรนหาที่ตาย เขาจะต้องสนองอีกฝ่ายให้ได้!
“ไอ้คนไร้ค่าอย่างนี้ก็มีสิทธิ์เข้าชิงโควตาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกกับพวกเราหรือ? มันรับดาบฉันได้ถึงสามดาบหรือเปล่า?” วินาทีต่อมา เมื่อสายตาของทุกคนถูกดึงดูดโดยหวังอีเตาและฉู่เหอ ฉู่เหอก็เอ่ยปากขึ้น สายตาที่เขาใช้มองเฉินเฟิงราวกับกำลังมองคนตายคนหนึ่ง
เมื่อศัตรูมาพบกัน ต่างฝ่ายต่างทำให้โกรธ ฉู่เหอเพิ่งปรากฏตัวก็หาเรื่องเฉินเฟิงแล้ว ต้องการจะฆ่าเฉินเฟิงให้ได้!
หากจียุ่นแค่เหิมเกริม เช่นนั้นฉู่เหอคงต้องใช้คำว่าหยิ่งผยองมานิยาม
หลังลงมาจากรถ เขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตาจนกระทั่งหาเรื่องเฉินเฟิง ลองท้าทายยั่วโมโหเฉินเฟิง จากนั้นก่อนที่จะมีการคัดเลือกตัวแทนเพื่อไปเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับโลกก็ฆ่าเฉินเฟิงเสีย ทั้งได้ลบล้างความอัปยศของผู้เป็นอาจารย์อย่างหวังอีเตา แถมยังได้ข่มขู่คนอื่นๆ เรียกได้ว่าเป็นคนที่จิตใจโหดเหี้ยมจริงๆ “ฉู่เหอ ใครมาก่อนได้ก่อน นายอย่ามาแย่ง ฉันจองที่จะส่งมันกลับบ้านก่อนแล้ว!” ฉู่เหอเพิ่งเอ่ยจบไม่รอให้เฉินเฟิงได้ตอบโต้ จียุ่นก็อดที่จะเอ่ยขึ้นมาก่อนไม่ได้ คำพูดแสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ราวกับฉู่เหอจะมาแย่งเหยื่อของตนไป
“ฉันกับมันอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หัวของมันฉันจองแล้ว พวกนายใครมาแย่งกับฉันก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!” ฉู่เหอได้ยินดังนั้นก็ถลึงตามองจียุ่นอย่างมีน้ำโหด้วยสีหน้าอาฆาต
“——”
มองท่าทีกระหายเลือดของฉู่เหอ สัมผัสได้ถึงรังสีนักฆ่าของฉู่เหอ จียุ่นกลืนน้ำลายอึกหนึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ถึงแม้เขาจะมั่นใจในความสามารถของตัวเอง ทว่าก็ไม่อยากต่อกรกับฉู่เหอเพียงเพราะอยากอวดความสามารถของตัวเอง
ขณะเดียวกันก่วนหนานเทียน อู่จื่อโจว ปรมาจารย์ฟางเจิ้ง ชางโป๋และจีอู๋ฉางต่างก็ขมวดคิ้วมองไปยังฉู่เหอ พวกเขาไม่ชอบการกระทำเช่นนี้ของฉู่เหอ อู่จื่อโจวจึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและเตรียมที่จะเอ่ยปากพูด
ทว่าไม่รอให้อู่จื่อโจวได้เอ่ยปาก ก็มีคนเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
เป็นเฉินเฟิงนั่นเอง
“ไหนๆก็รีบจะไปเกิดใหม่ เช่นนั้นฉันจะสนองให้เอง!”
ภายใต้แสงอาทิตย์ในยามเช้า เฉินเฟิงปล่อยมือจากรถเข็นของเย่หนานเทียน ก้าวมาด้านหน้าสองก้าวพลางหรี่ตามองฉู่เหอ ความต้องการฆ่าแผ่ออกมาจากร่างกาย
ไม่เอ่ยถึงเรื่องบาดหมางของทั้งสองฝ่าย ฉู่เหอเพิ่งปรากฏตัวก็อยากจะฆ่าเฉินเฟิงแล้ว นั่นทำให้เฉินเฟิงมีน้ำโห!
วินาทีนี้เขาฟิวส์ขาดแล้ว เตรียมที่จะฆ่าฉู่เหอต่อหน้าทุกคน!
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฟิง ฉู่เหอก็ตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ฉับพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าวดึงดาบเตรียมจะลงมือ
“โอหัง!”
ในตอนนั้นเองอู่จื่อโจวก็ตะโกนออกมาราวกับเสียงฟ้าร้องจนทำให้ทุกคนใจกระตุกครั้งหนึ่ง “พวกคุณเห็นที่นี่เป็นอะไรกัน? สำนักงานใหญ่สหพันธ์บูโดเป็นสถานที่ๆพวกคุณมาแสดงความป่าเถื่อนกันได้หรือ?”
เอ่ยจบสายตาคมกริบของอู๋จื่อโจวก็กวาดมองเฉินเฟิง จียุ่นแล้วจบที่ฉู่เหอ
เฉินเฟิงถอยกลับไปอยู่หลังเย่หนานเทียนโดยไม่พูดไม่จา จียุ่นก็หุบปากไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ ทว่าฉู่เหอกลับสบตาอู่จื่อโจวอย่างไม่กลัวตาย
“หวังอีเตา คุณสั่งสอนลูกศิษย์ของคุณยังไง? ลูกศิษย์ของคุณกล้าที่จะมีปัญหากับผู้สมัครที่ทางสหพันธ์บูโดกำหนดมาหรือ? หรือว่าตระกูลหวังของพวกคุณจะไม่ทำตามกฎของสหพันธ์บูโดก็ได้อย่างนั้นสินะ หรืออยากอยู่เหนือสหพันธ์บูโด?”
อู่จื่อโจวจับจ้องฉู่เหออยู่พักหนึ่งจนกระทั่งฉู่เหอเริ่มชาไปทั้งหนังศีรษะ ในใจเริ่มเกิดความกลัวจึงละสายตาไปมองหวังอีเตาแทน
พรึ่บ!
เมื่อได้ยินคำพูดของอู่จื่อโจว สีหน้าของหวังอีเตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ขออภัยท่านผู้อาวุโสอู่ กระผมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ไม่ดีเอง”
“เสี่ยวฉู่กลับมา!” เอ่ยจบหวังอีเตาก็กวักมือเรียกฉู่เหอ เพราะเกรงว่าฉู่เหอจะท้าทายสหพันธ์บูโดอย่างไม่กลัวตายอีก
เช่นนั้นตระกูลหวังอาจจะถูกประณามว่า”ทำตัวเหนือสหพันธ์บูโด” ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตระกูลหวังแน่นอน!
“ไอ้มด ฉันจะปล่อยแกไปก่อนแต่หลังจบการคัดเลือกจะเป็นการเริ่มต้นสงครามระหว่างฉันกับแก หวังว่าแกจะไม่หัวหดไปก่อน!” ฉู่เหอหันไปยิ้มเย็นให้เฉินเฟิง จากนั้นก็ถอยกลับมายืนข้างหวังอีเตา ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความต้องการฆ่าอย่างเลือดเย็น ความรู้สึกนั้นราวกับว่าไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็จะต้องฆ่าเฉินเฟิงให้ได้