ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 810
ไอ้อ้วนต้องการเพียงแค่ขับไล่คนพวกนี้ออกไปจากที่นี่
แต่ที่คนผู้นี้พูดออกมามันช่างน่าขันเสียจริง เฉินเฟิงในตอนนี้ยังต้องการจะสานสัมพันธ์อีกเหรอ ถึงขนาดสามารถที่จะพูดอย่างไม่เกรงใจว่า เขาเองก็คือเส้นสายความสัมพันธ์
รอจนขับไล่คนพวกนั้นกลับไปกันหมดแล้ว ไอ้อ้วนก็กลับมาหาเฉินเฟิงด้วยท่าทางที่เขินอาย
“คุณชายเฉิน ท่านว่า ข้าสามารถที่จะกลับไปได้แล้วหรือยัง”
เขาคิดที่จะหลบหนี แต่เฉินเฟิงก็ยังคงไม่ยอมปล่อยเขาไป
“นายจัดการเรื่องจนเสร็จเรียบร้อยอย่างดีแล้ว ข้าคิดว่าข้าควรจะต้องมอบรางวัลให้แก่นายด้วย”
ไอ้อ้วนรีบโบกมือปฏิเสธ
“คุณชายเฉิน ไม่ต้องหรอก มันคือสิ่งที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว”
เฉินเฟิงกลับพูดขึ้นว่า
“นายปฏิบัติหน้าที่ตามที่ข้าสั่งจนสำเร็จ แน่นอนว่าข้าจะต้องมอบรางวัลให้กับนาย แต่ที่นายเตรียมที่จะแอบอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาภายในคลับ ข้าก็จะไม่ยกโทษให้ ดังนั้นสองเรื่องที่ว่านี้ทดแทนกันเรียบร้อย ข้าก็ไม่ได้ต้องการจะให้นายทำอะไรมาก โดยการเฝ้ายามของที่นี่ จะให้นายมาปฏิบัติหน้าที่แทนชั่วคราวจะว่าอย่างไร”
ไอ้อ้วนถึงกับร้องไห้ แต่เขาก็ทราบดีว่าตนเองได้ไปก่อเรื่องวุ่นวายให้กับเฉินเฟิงซึ่งการถูกลงโทษแบบนี้นั้นก็ถือว่าดีมากเท่าไหร่แล้ว จึงรีบกล่าวขอบคุณขึ้นโดยไม่ต้องคิด
แต่กลับเป็นว่ายามที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองมาที่เฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจ
เฉินเฟิงยิ้มให้กับเขาเล็กน้อย
“นายหยุดงานพักผ่อนสองวันแล้วกัน เป็นการพักผ่อนแบบที่ยังคงได้รับเงินเดือนปกติ”
เรื่องที่เกิดขึ้นในสวนซวนหยวนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น และก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของเฉินเฟิง
แต่การใช้ชีวิตที่สงบเงียบนั้นมันช่างแสนสั้นยิ่งนัก
เป็นเพราะว่าการต่อสู้ที่พ่ายแพ้ของยอดฝีมือของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในยันเจียงเหมือนว่าจะทำให้ทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้สึกเสียหน้าอับอายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ภายในผับแห่งหนึ่งในเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เจี่ยตงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับพวกพ้องในผับแห่งนี้
โดยหนึ่งในนั้นก็คือลูกชายของหวางลั่วปิง ที่ชื่อว่าหวางเสวเต้าซึ่งเป็นผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาข้อมือ แบรนด์หรู
“พี่เสวเต้า ลุงหวางต่อสู้พ่ายแพ้ให้กับไอ้หนุ่มน้อยนั่นจริง ๆ เหรอ? ”
แม้ว่าภายนอกจะมีข่าวลือกระจายไปทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดที่รับทราบข่าวข้อมูลที่เป็นความจริง ซึ่งหวางลั่วปิงก็กำลังพักรักษาตัว ไม่มีทางที่จะออกมายืนยันว่าตนเองได้พ่ายแพ้อย่างแน่นอน
ส่วนเฉินเฟิงนั้นก็เกียจคร้านที่จะออกมาโอ้อวดว่าเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้
ดังนั้นเจี่ยตงจึงได้ถามขึ้นด้วยความหวังอันเลือนลางว่าเป็นเพียงแค่ข่าวลือ
แต่หวางเสวเต้ากลับมีสีหน้าที่ขมขื่น และพูดขึ้นอย่างโหดเหี้ยมว่า
“ก็เป็นเพราะเฉินเฟิงนั้นที่โหดร้าย มีวิทยายุทธเก่งกาจแต่กลับใช้ในทางที่ผิด ตอนนั้นข้าก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย พ่อของข้าเกือบที่จะเอาชนะเขาได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดวงตาสองข้างของเขากลับ แดงก่ำขึ้น มีเกล็ดดำขึ้นตามร่างกาย เหมือนกับว่าเป็นปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น”
“ทันใดนั้น พละกำลังก็มหาศาลขึ้น แม้แต่บาดแผลก็ไม่มีความรู้สึกเจ็บ ไม่ว่าพ่อของข้าจะจู่โจมอย่างไร เขาก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย”
แม้ว่าเจี่ยตงจะไม่ได้เห็น แต่ได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันช่างชั่วร้ายเสียจริง เขาจึงถามขึ้น
“นี่มันเป็นวิชาต่อสู้อะไรกัน ทำไมถึงน่ากลัวขนาดนี้”
“ตอนนั้นข้าเองก็ไม่รู้ แต่หลังจากที่ข้ากลับมาแล้วก็ได้ตรวจสอบค้นหา จนข้าทราบถึงชื่อของวิชาต่อสู้ที่ชั่วร้ายนี้จริง ๆ ด้วย”
“คืออะไร? ”
ทุกคนต่างก็มองไปที่หวางเสวเต้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หวางเสวเต้าจงใจทำเสียงให้ต่ำลง ที่เขาออกมาพูดซี้ซั้วแบบนี้ก็เพราะต้องการที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของพ่อเขากลับคืนมา ไม่อย่างนั้นเรื่องที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้รวมถึงเรื่องการเสียชีวิต เขาจะกล้าออกมาพูดได้อย่างไรกัน
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะไปค้นคว้าข้อมูลเพื่อทำให้สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
“เมื่อสามสิบปีก่อนพวกนายรู้จัก ปรมาจารย์กัณหธรรมที่ชื่อว่าเซ่หยิ่งไหม”
ทุกคนต่างก็ส่ายศีรษะ มีเพียงเจี่ยตงที่ครุ่นคิดและพูดขึ้นว่า
“ข้าเคยได้ยินที่พ่อข้าพูด แต่ว่าเขาไม่ได้ตายไปแล้วหรอกเหรอ? ทำไมเหรอ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา”
“ใช่ตามนี้เลย วิชาต่อสู้ชั่วร้ายที่เฉินเฟิงได้ฝึกฝนนั้นก็คือวิชากังฟูที่เซ่หยิ่งสืบทอดต่อกันมา ซึ่งเป็นวิชากังฟูที่ใช้เลือดในการฝึกฝน”
ทุกคนต่างก็ไม่ทราบว่ามันมีความชั่วร้ายอย่างไร แต่ได้ฟังแล้วก็เกิดความหวาดกลัว ซึ่งต่างก็ทราบกันดีว่าเฉินเฟิงนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร เดิมทีทุกคนก็เกลียดชังกันอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งจะมีเหตุผลที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นอีก
พูดจบ เจี่ยตงก็ถอนหายใจและพูดว่า
“แต่น่าเสียดายที่ลุงหวางถูกคนชั่วร้ายนั้นทำร้าย ยอดฝีมือแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราตกอยู่ในมือของคนชั่วร้าย ทำไมพระเจ้าไม่สงสารกันบ้าง ทำให้ทั้งภาคตะวันตกของเรารู้สึกว่ามืดมิดลงไปช่วงเวลาหนึ่ง”
เสียงถอนหายในของเขาในครั้งนี้ก็เหมือนไปสะกิดโดนความเสียใจของหวางเสวเต้า เจี่ยตงยกแก้วขึ้น มองไปที่หวางเสวเต้า และพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า
“พี่เสวเต้า พี่กับข้าจะต้องมีสักวันที่สามารถลบล้างความอัปยศนี้ไปได้ จับตัวไอ้คนชั่วร้ายเฉินเฟิงมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้ มาชนแก้วกัน แก้วนี้ข้าขอคารวะ”
เหล้าเป็นเหล้าที่ดี แต่คนไม่ใช่คนดี
แต่นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับรู้
บริเวณด้านข้างของพวกเขามีวัยรุ่นคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีมองมาที่พวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“พี่ เซ่หยิ่งที่พวกเขาพูดถึงกันนั้นมีจริงเหรอ? ”
หนุ่มน้อยสอบถามไปยังวัยรุ่นที่มีอายุมากกว่าเขา
วัยรุ่นคนนั้นพูดว่า
“เรื่องนี้เป็นความจริง เซ่หยิ่งเป็นมหาปรมาจารย์ที่แกร่งกล้า ทั่วทั้งวงการต่อสู้ไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้ ตอนนั้นเกิดความวุ่นวายโกลาหลในสังคมจนไม่มีความปลอดภัย”
หนุ่มน้อยได้ยินแล้ว ก็มีสีหน้าที่สงสัยและพูดขึ้นว่า
“แต่ตอนนั้นคุณพ่อกับคุณลุงก็เป็นมหาปรมาจารย์ไม่ใช่เหรอ พวกเขาทำไมถึงไม่ไปจัดการปีศาจชั่วร้ายตนนี้”
เมื่อหนุ่มน้อยได้พูดถามออกไป ซึ่งถือเป็นการวิจารณ์ที่น่าทึ่งมาก มหาปรมาจารย์ตั้งสองคน มีใครกล้าที่จะคิดอย่างนี้บ้าง หรือว่าหนุ่มน้อยคนนี้จงใจที่จะคุยโว
แต่วัยรุ่นด้านข้างกลับอธิบายว่า
“คุณพ่อกับคุณลุงแม้ว่าจะเป็นมหาปรมาจารย์ แต่เซ่หยิ่งมีวิชากังฟูที่ชั่วร้าย แม้ว่าจะสามารถร่วมมือกันต่อสู้เอาชนะเขาได้ แต่ก็ยากที่จะจับกุมตัวเขาไว้ หากเขาต้องการจะหลบหนี ก็แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ”
หนุ่มน้อยพูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า
“แล้วตอนสุดท้ายเขาตายได้อย่างไร? ”
วัยรุ่นส่ายศีรษะ
“เรื่องนี้ไม่มีข้อมูลอะไรเลย ได้ยินแค่ว่าเขาได้ตายไปแล้ว แต่กลับไม่มีใครทราบว่าเขาตายได้อย่างไร และก็ไม่ทราบว่าเขาถูกใครฆ่าตาย”
“โอ้ว! ”
หนุ่มน้อยก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
คนสองกลุ่มในผับแห่งเดียวกันเดิมทีคงน่าจะไม่มีเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวข้องกัน แต่กลับเป็นเพราะเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเขาได้มาพบเจอกัน
มีคนดื่มเหล้าจนเมาแล้ว เริ่มจะเอะอะโวยวายขึ้น
เขายกเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา แล้วพูดกับหญิงสาวที่ตกใจกลัวจนตัวสั่นว่าเขาต้องการที่จะดู เรือนร่างของเธอที่เปลือยเปล่า
ทะเลาะวุ่นวายกันอย่างหนัก มีคนเข้าไปห้ามปรามขัดขวาง แต่เขายกเก้าอี้ขึ้นมา คนสองสามคนไม่สามารถที่จะเข้าไปใกล้กับตัวเขาได้
เจี่ยตงที่กำลังเสียใจอยู่ตรงนั้นได้เห็นเข้าพอดี ก็เกิดไม่พอใจขึ้นในทันที
เขากับเพื่อนรักของเขากำลังเกลียดชังและเคียดแค้นศัตรูอยู่ และกำลังระบายความอัดอั้นข่มขื่นที่อยู่ภายในใจ แต่กลับมีคนมาขัดจังหวะทำลายบรรยากาศระหว่างพวกเขา
“นี่มันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น? ”
เจี่ยตงเดินเข้าไปใกล้กับคนที่กำลังทะเลาะกัน
มีคนรู้จักว่าคนผู้นี้เป็นลูกชายของกษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็รีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับเขาฟัง
“ก็แค่คนกระจอกอ่อนแอคนหนึ่ง พวกนายมีกันตั้งสองสามคนยังไม่กล้าที่จะเข้าไปจัดการอีก รอดูนะ ดูว่าข้าจะจัดการปราบปรามเขาได้อย่างไร”
เจี่ยตงเคยฝึกฝนวิชาต่อสู้มาก่อน แน่นอนว่าไม่กลัว เขาเดินเข้าไปข้างหน้า ไม่ทันจะครบยก ก็จัดการไอ้คนนั้นลงไปนอนกองอยู่กับพื้น
รอจนเจี่ยตงปรบมือ ภายในผับก็มีเสียงโห่ร้องดีใจกันไปทั่ว
คนพวกนี้ประจบสอพลอเจี่ยตงอยู่บ้าง และก็มีบางคนเป็นเพราะเจี่ยตงได้กระทำเรื่องที่ดีขึ้น แต่เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่หลงลืมกันได้โดยง่าย คงอีกไม่นานก็ไม่มีผู้ใดจดจำมันได้แล้ว
แต่หนุ่มน้อยกับวัยรุ่นที่ยืนดูอยู่ด้านข้างกลับแอบจดจำใบหน้าลักษณะของเจี่ยตงเอาไว้แล้ว
รอจนพวกเขาได้พบเจอกันอีกครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
“กษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” แม้ว่าเจี่ยหวั้นเหาจะถูกขนานนามว่ากษัตริย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะกันด้วยฝีมือและกำลังต่อสู้ ซึ่งเมื่อพูดถึงการต่อสู้แล้ว หวางลั่วปิงยอดฝีมือแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือผู้นี้เก่งกาจกว่าอย่างแน่นอน