ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 814
พลังของเฉินเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เลือดของบาดแผลที่ท่อนขาได้หยุดไหลลงแล้ว และเขายิ่งไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอะไรเลย ดังนั้นขณะต่อสู้กับสองพี่น้องเขาจึงไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
ปะทะกระบวนท่ากัน เขากลับดูมีความได้เปรียบมากขึ้น
แต่ขณะที่เฉินเฟิงกำลังเข้าจู่โจมต่อสู้อย่างดุเดือด ทางชิงจือกลับตกอยู่ในสภาพที่กำลังครุ่นคิดอย่างน่าประหลาดใจ
เหมือนกับว่าภาพสองเหตุการณ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงปรากฏอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน
แบบหนึ่งเงียบแบบหนึ่งเคลื่อนไหว แบบหนึ่งเป็นผู้ชายแบบหนึ่งเป็นผู้หญิง
สถานการณ์ดังกล่าวนี้เหมือนกับทำให้เวลาหยุดชะงักลง
แต่นั่นคือเวลาที่เป็นเพียงความรู้สึก โดยที่เฉินเฟิงได้ชกเข้าไปที่หน้าอกของเน่เฉินหนึ่งหมัด บีบให้เขาต้องถอยร่นไปสิบกว่าก้าว ทุกอย่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
เน่เฉินรู้สึกว่ามีความหวานในปาก จากนั้นจึงได้กระอักเลือดออกมา พลังของหมัดนี้อย่างน้อยทำให้ม้ามและปอดของเขาได้รับบาดเจ็บ
เน่เจิ้งก็กระวนกระวายใจขึ้น กระบี่ยาวในมือยังคงไม่หยุดที่จะร่ายรำกระบวนท่า และเห็นว่ากำลัง ตกเป็นรองบ้าง เขาจึงได้แต่ประคับประคองสถานการณ์เอาไว้
เวลานี้เน่เฉินหันกลับไปมองที่ชิงจือ โดยที่เขาทราบดีว่าในเมื่อพวกเขาสองพี่น้องไม่สามารถที่จะต่อกรหยุดยั้งเฉินเฟิงได้ ดังนั้นจึงต้องขอความช่วยเหลือจากชิงจือ เมื่อครู่ที่เห็นเพียงแค่กระบวนท่าเดียว แต่พวกเขาก็มองออกว่าชิงจือมีพลังความสามารถที่สูงส่ง
หากว่ามีเธอเข้ามาสมทบ ถ้าอย่างนั้นการจับกุมคนชั่วเฉินเฟิงก็จะยิ่งง่ายดายมากขึ้น
แต่ชิงจือยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่ได้สนใจความคิดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
หมดหนทาง เขาจึงกลับเข้าสู่การต่อสู้อีกครั้ง เพราะลำพังเน่เจิ้งคนเดียวไม่สามารถรับมือกับการ จู่โจมของเฉินเฟิงได้
หมัดของเฉินเฟิงรวดเร็วมาก ถึงขนาดรู้สึกว่ายิ่งชกยิ่งรวดเร็วมากขึ้น เมื่อครู่เน่เจิ้งใช้กระบี่ต้านรับจนกระบี่ยาวม้วนตัวเป็นคันธนู แต่เขาก็ยังคงถูกหมัดชกเข้าอีกครั้ง
เขาถอยร่นหนึ่งก้าว จากนั้นก็เห็นเน่เฉินถูกชกเข้าอีกหมัด และก็ต้องถอยร่นเช่นกัน
สองพี่น้องทราบดีว่าหากปะทะต่อสู้ต่อไปพวกเขาคงอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่ ทั้งสองคนจ้องมองซึ่งกันและกัน ความเข้าใจกันที่บ่มเพาะมาเป็นเวลาหลายปีทำให้พวกเขารู้ว่าแต่ละฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
ชั่วครู่หลังจากนั้น เน่เจิ้งแกล้งทำเป็นโจมตี เน่เฉินก็กลับตัวเพื่อคิดจะหลบหนี
แต่เฉินเฟิงไม่ได้คิดที่จะปล่อยให้เน่เฉินหลบหนีไปได้ เขาสะบัดกระบี่ยาวของเน่เจิ้งออก แล้ววิ่งไล่ตามเน่เฉิน ขณะที่กำลังเข้าประชิดตัว ทางฝ่ายเน่เจิ้งก็รีบเร่งฝีเท้า หนีห่างออกไปจากเฉินเฟิง
เฉินเฟิงโมโห รู้สึกเหมือนว่าโดนเล่นตลก จึงรีบที่จะไปจับตัวของเน่เจิ้งเอาไว้ ส่วนเน่เฉินคงไม่มีทางที่จะจับตัวได้ทันแล้ว
เมื่อตั้งสติกลับขึ้นได้ นึกไม่ถึงว่าสองพี่น้องได้หลบหนีออกไปคนละทิศคนละทางจากบริเวณที่ต่อสู้
พลังการต่อสู้ที่ไร้ขีดกำจัดของเฉินเฟิงกลับสูญเสียช่องทางการปลดปล่อย ไม่มีสองพี่น้องนั้นเป็นเป้าหมาย เขาจึงทำได้เพียงเข้าไปสู้รบกับชิงจือที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น
ยังคงปล่อยหมัด ซึ่งเป็นหมัดที่ดุดัน
แต่เหมือนกับว่าด้านหลังมีดวงตา ชิงจือไม่แม้แต่หันกลับมามองก็สามารถเอี้ยวตัวหลบได้อย่างง่ายดาย
เฉินเฟิงรีบพุ่งเข้าไปจับที่ไหล่ของชิงจือ แต่มือหนึ่งข้างที่ยื่นมาทันใดนั้นก็บิดกลับจับไปที่หลังมือของเขาเอง เสียงดังแกร็ก ข้อมือของเขาหักเป็นสองท่อน
เฉินเฟิงไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ข้อมือไม่สามารถใช้งานได้อีก ปล่อยทิ้งมือข้างขวาลง และใช้มือซ้ายมาต่อสู้แทน
แต่ทว่าก็เหมือนกับเป็นการฉายซ้ำฉากเดิม ภาพเหตุการณ์เมื่อสักครู่ได้ปรากฏซ้ำขึ้นอีกครั้ง
เขาลากสองมือที่ใช้งานไม่ได้ โดยเหลือแต่ขาสองข้างที่สามารถใช้ในการต่อสู้
แต่เขาอาจจะไม่มีโอกาสอีกครั้งก็เป็นได้ โดยมีดเล่มหนึ่งตีเข้าไปที่หน้าผากของเขา ดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ปกติทันใดนั้นก็ได้เลือนลางขึ้น
เฉินเฟิงล้มลงไปที่พื้น สาวน้อยที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับในที่สุดก็มีการตอบสนองขึ้นบ้างแล้ว
ชิงจือมองออกว่าสาวน้อยคนนี้เหมือนกับเป็นห่วงเฉินเฟิง จึงพูดขึ้นว่า
“คุณรู้จักเขาเหรอ? ”
สาวน้อยได้ยินเสียงของชิงจือ เดิมทีมีความคิดที่จะไปดูเฉินเฟิงสักหน่อยแต่ก็ต้องถอยร่นกลับมา
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่รู้จักเขา ถ้าอย่างนั้นฉันก็ฆ่าเขาเลยก็แล้วกัน”
ชิงจือมองไปที่เฉินเฟิงอย่างเย็นชา จากนั้นก็เตรียมที่จะลงมือ
“อย่า! ”
ในที่สุดสาวน้อยก็พูดออกเสียงแล้ว โดยเธอได้พูดขัดขวางเอาไว้
ชิงจือยิ้มเล็กน้อย โดยเธอไม่ได้สนใจว่าเฉินเฟิงจะอยู่หรือตาย หากว่าเมื่อครู่สาวน้อยไม่ได้ขัดขวางเอาไว้ เธอก็คงอาจจะลงมือฆ่าเฉินเฟิงไปแล้ว เพราะว่าไอ้คนนี้ก็เป็นเพียงแค่คนที่ไร้ความสำคัญเท่านั้น
“ว่าแล้วคุณคงจะรู้จักเขา เป็นคนรักของคุณเหรอ? ”
ชิงจือพูดในสิ่งที่ฟังแล้วแปลกประหลาดออกมาอีกครั้ง
ทางสาวน้อยก็เหมือนว่ากลับคืนสู่สภาพที่หวาดกลัวอีกครั้ง
“ตกลง ฉันจะไม่ฆ่าเขา”
พูดจบ เธอก็เปิดประตูหลังรถ ใช้มือข้างหนึ่งยกร่างของเฉินเฟิงขึ้นมา แล้วก็โยนร่างของเขาเหมือนกับโยนขยะลงไปที่เบาะที่นั่งด้านหลัง
โดยที่เฉินเฟิงไม่รับรู้รับทราบอะไรแล้ว ส่วนรถของเขานั้นชิงจือก็เป็นคนขับ และพาสองคนที่เป็นผู้ใหญ่และเด็กโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปยังสถานที่แห่งใด
เฉินเฟิงเจ็บปวดมากจนได้สติขึ้นมา ความเจ็บปวดที่ทะลุเข้าไปถึงกระดูกแม้เขาจะสลบไปก็ไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดได้ และบางทีอาจจะเจ็บปวดจนต้องสลบไปอีกครั้ง
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นแล้วพบว่า ตอนนี้เขาถูกแช่อยู่ในอ่างน้ำ
ซึ่งก็คืออ่างน้ำที่ไว้ใช้แช่ผักดอง โดยที่แช่เขาลงไปทั้งคนได้อย่างไม่มีปัญหา
ที่ปลายจมูกได้กลิ่นที่แปลกประหลาดและมีกลิ่นเหม็น ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่แน่นอนว่าเป็นกลิ่นของเหลวที่ใช้แช่ร่างกายของเขาได้ระบายออกมา
เขาคิดที่จะลุกขึ้นยืน แต่เหมือนกับว่าทั้งแขนและขาไม่มีการรับรู้ นอกเสียจากรับรู้ว่าเป็นร่างกาย แต่ส่วนอื่น ๆ กลับเหมือนว่าไม่มีอย่างไรอย่างนั้น
อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะสรรพคุณของยาน้ำ
ส่วนความเจ็บปวดในร่างกายนั้นก็ยังมีเหมือนเดิม ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แม้ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งทำได้เพียงอาศัยสมองรับรู้ถึงความเจ็บปวดเหล่านั้น
ไม่ว่าคนนั้นจะมีจิตใจที่แน่วแน่สักเท่าไหร่ก็ไม่อาจอดทนกับความเจ็บปวดนี้ได้ โชคดีที่ว่า เฉินเฟิงได้สลบลงไปอีกครั้ง
แต่ว่าในครั้งนี้ สลบไปเป็นเวลานานมาก ความเจ็บปวดแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา ซึ่งหากไม่มีการรับส่งทางประสาทการรับรู้ เขาก็ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น
ยาน้ำที่ประหลาดเหล่านี้ก็เริ่มที่จะเจือจาง เหมือนว่าได้อาศัยเฉินเฟิงเป็นตัวคัดกรอง โดยที่สิ่งเจือปนในตัวยาได้เข้าซึมไปในร่างกายของเขา ซึ่งยังไม่รู้ว่าเขาจะสลบไปอีกนานเท่าไหร่ถึงจะฟื้นขึ้นมา
แต่หลังจากที่ฟื้นได้สติขึ้นมา ก็ไม่มีความเจ็บปวดแล้ว
สดชื่นแจ่มใสอย่างกับเป็นคนใหม่ ลมยามค่ำคืนของฤดูร้อนพัดโบกอย่างเย็นสบาย
เงาข้างหลังที่ยืนอยู่ไปไม่ไกลมากนัก เฉินเฟิงรู้จัก
เธอกำลังบดสิ่งของอะไรให้แตกละเอียด เสียงทุบบดตึง ๆ ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
แต่เมื่อเฉินเฟิงได้สติขึ้นมา เธอเหมือนกับว่ามองเห็น จึงหันหลังกลับไปมองเฉินเฟิง
“คุณฟื้นแล้วเหรอ? ”
“นี่คือที่ไหน ? ” เฉินเฟิงถามขึ้น
“ที่นี่คือบ้านของฉัน คุณไม่ต้องกังวล ฉันไม่ทำอะไรคุณหรอก เพียงแต่วิชาพลังที่แปลกประหลาดของคุณนั้นมันช่างเลวร้ายเสียจริง ฉันจึงต้องใช้สมุนไพรเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของคุณ”
เฉินเฟิงมองไปที่ชิงจืออย่างจริงจัง เขาคิดซาบซึ้งกับฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้าง เขารู้ว่าความเจ็บปวดที่ทำให้เขาทรมานนี้ หากว่าไม่ใช่พวกยาสมุนไพรนี้แล้ว เขาคงอาจจะต้องอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ไปอีกนาน ครั้งก่อนก็ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ครั้งนี้อาจจะนานมากกว่านั้น
ตอนนี้ ชิงจือได้พูดขึ้นว่า
“แม้ว่าฉันจะมองไม่ออกว่าที่คุณเรียนมานั้นคือพลังวิชาอะไร แต่ต่อไปคุณไม่ควรที่จะใช้มันอีก มันไม่เป็นประโยชน์สำหรับตัวคุณ”
เฉินเฟิงไม่มีการตอบรับอะไร เขาเองก็ทราบดีว่า ในบางครั้งเรื่องราวแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถกำหนดตัดสินใจได้เองที่ไหนกัน
จากนั้น ชิงจือก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก บดยาสมุนไพรเสร็จแล้วก็เดินออกไป
เฉินเฟิงนอนแช่อยู่ในนั้นตามลำพัง ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เวลาผ่านไปนานพอสมควร ก็มีเงาร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา
เด็กน้อยน่ารักสวยงาม สาวใส่เสื้อคลุมสีขาว ใบหน้าแดงก่ำ