ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 815
มองแวบหนึ่ง เฉินเฟิงยังจำฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แต่ไม่นานก็นึกถึงเด็กน้อยที่สกปรกมอมแมมคนนั้นขึ้น
เธอค่อนข้างเขินอาย ไม่กล้าที่จะไปดูเฉินเฟิง
หลบอยู่ด้านหลังของโต๊ะซึ่งกล้าเพียงแค่แอบมอง เฉินเฟิงก็ยิ้มให้กับเธอ
แข็งทื่ออยู่ประมาณหนึ่งนาที สาวน้อยถึงกล้าที่จะลองเดินออกมา
เห็นว่าเฉินเฟิงเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไรแล้ว มือเล็ก ๆ สองข้างของเธอก็วางไปบนขอบอ่าง จ้องมองร่างกายของเฉินเฟิงที่กำลังแช่อยู่ในอ่างยา
“หนูไม่กลัวฉันแล้วเหรอ? ”
เฉินเฟิงกระซิบถามขึ้น
แต่สาวน้อยก็คงยังไม่พูดไม่จา ได้แต่มองดูอยู่ช่วงหนึ่ง เหมือนกับว่ามองดูอะไรไม่ออก ก็ไม่มองแล้ว
“คุณมาดูเขาเหรอ? ”
เวลานี้ เสียงของชิงจือดังมาจากด้านข้างประตู
สาวน้อยเหมือนกับกระต่ายน้อยที่ตกใจ แอบหลบไปอยู่ด้านหลังอ่างยาของเฉินเฟิง ไม่กล้าที่จะมองชิงจือ
“คุณยังคงไม่กล้าที่จะพบเจอฉัน ตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่? ”
เธอเหมือนกำลังถามเด็กน้อยคนนี้ แต่เฉินเฟิงไม่เข้าใจว่าเธอหมายความว่าอย่างไร
“ช่างมันเถอะ ฉันก็จะไม่บีบบังคับคุณอีก แต่คุณห้ามที่จะหนีจากฉันไปไหนอีก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อเธอพูดจบ ก็นำตะกร้ายาสมุนไพรมาวางลงที่มุมห้อง และเริ่มคัดสรรสมุนไพรที่เพิ่งเด็ดกลับมา
มองไปที่ด้านหลังของชิงจือ ก็เหมือนกับว่าเป็นลูกสาวของชาวป่าชาวเขา โดยภูเขาและน้ำจากธรรมชาติได้หล่อเลี้ยงให้เธอเติบโต ทำให้มีกลิ่นอายที่พิเศษของภูเขาและน้ำจากธรรมชาติ
แต่เฉินเฟิงกลับไม่สามารถที่จะคิดในลักษณะเช่นนี้ได้ ความเก่งกาจในวิชาต่อสู้ของชิงจือนั้นคงจะไม่ใช่หญิงสาวที่เก็บตัวอยู่ในป่าในเขาสามารถจะมีได้อย่างแน่นอน และเฉินเฟิงยังจำได้ว่าตอนที่เห็นเธอนั้น เธออยู่ในชุดกระโปรงงานราตรีที่งดงาม
สถานะของเธออาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นธิดาของตระกูลที่ลึกลับตระกูลหนึ่ง
นี่คือสิ่งที่เฉินเฟิงคาดเดาเกี่ยวกับชิงจือ แต่ในส่วนของสาวน้อยที่แอบหลบอยู่ด้านหลังของเขานั้น จนถึงตอนนี้เฉินเฟิงก็ยังคงไม่ทราบว่าทำไมชิงจือถึงได้พูดคุยกับเธอแบบนั้น
หรือว่าสาวน้อยจะไม่ได้มีอายุตามลักษณะภายนอกของเธอที่ปรากฏ เป็นเพราะป่วยเป็นโรคอะไร จึงทำให้ความจำเสื่อม
เหมือนกับว่าจะจำทุกอย่างไม่ได้
เฉินเฟิงลุกออกมาจากอ่างยาในตอนกลางคืนของวันที่สามหลังจากที่แช่ยา โดยชิงจือยืนอยู่ด้านข้างของเขา
เฉินเฟิงมีอาการเขินอายบ้างเล็กน้อย เพราะตอนที่เขานั่งแช่อยู่ในอ่างยา ร่างกายเปลือยเปล่า เมื่อยืนขึ้นมาก็ถูกชิงจือมองเห็น
ดังนั้นเขาจึงมีท่าทีที่ไม่ค่อยสบอารมณ์
“คุณยังจะมัวชักช้าอะไรอยู่ล่ะ เสื้อผ้าบนร่างกายของคุณก็คือฉันที่เป็นคนถอดให้ ยังมีอะไรที่ฉันยังมองไม่เห็นอีก ตอนนี้ยืนขึ้นมา ให้ฉันดูหน่อยว่าร่างกายของคุณได้ซึมซับพวกยาเหล่านั้นเข้าไปแล้วหรือยัง”
เฉินเฟิงทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วยืนขึ้นด้วยความจำยอม ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นแบบนี้แล้ว เคยเห็นแล้วก็เห็นไปเถอะ
แม้ว่าชิงจือจะพูดออกมาแบบนั้น แต่หลังจากที่เฉินเฟิงลุกขึ้นยืนแล้ว เธอก็ยังคงเขินอายจน หน้าแดง
ของเหลวที่อยู่ในอ่างยาตอนนี้ไม่ค่อยมีกลิ่นฉุนมากเท่าไหร่แล้ว สิ่งของภายในนั้นไม่ใช่ซึมซับเข้าสู่ร่างกายเฉินเฟิงก็คงจะตกตะกอนลงไปอยู่ที่ก้นอ่าง ชิงจือใช้กระบวนตักขึ้นมา วางไว้ที่เบื้องหน้าจมูกเพื่อดมกลิ่นและพูดขึ้นว่า
“ถ้าหากว่าต่อไปคุณต้องการจะใช้มันอีก สามารถที่จะลดจำนวนยาลงบ้างเล็กน้อย แน่นอนว่า ฉันก็แค่พูดบอกไปอย่างนี้ ดีที่สุดคือคุณไม่ควรที่จะไปทดลองใช้ เพราะมันจะมีแต่โทษสำหรับคุณ”
เฉินเฟิงซาบซึ้งใจมากกับผู้หญิงที่เพิ่งพบเจอกันในครั้งแรก แต่ใจก็ยังคงมีคำถามอยู่โดยตลอด เขาคิดไปคิดมาจึงได้ถามขึ้น
“ทำไมคุณถึงต้องช่วยฉันด้วยล่ะ? ”
ชิงจือตกใจขึ้นเล็กน้อย หยุดสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ แล้วมองไปที่เฉินเฟิง
“คุณให้อาหารและน้ำกับเธอ นี่ก็เพียงพอที่ฉันจะช่วยเหลือคุณแล้ว”
เฉินเฟิงคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ ทางชิงจือก็พูดขึ้นอีกว่า
“ตอนนี้คุณหายเป็นปกติแล้ว คุณก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว คืนนี้คุณก็กลับไปเถอะ”
เธอพูดอย่างตรงไปตรงมา ถึงขนาดไม่ได้คิดที่จะเตรียมให้เฉินเฟิงพักอยู่ที่นี่ต่ออีกสักคืนหนึ่งเลย
เฉินเฟิงมองไปนอกหน้าต่างซึ่งท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดมิดลงแล้ว อีกทั้งที่นี่ก็อยู่ท่ามกลางภูเขา เธอปล่อยให้เขากลับออกไปตอนนี้ เหมือนกับว่าจะใจร้ายกันเกินไปหน่อย
“พรุ่งนี้ฉันค่อยไปได้ไหม? ” เฉินเฟิงถามขึ้น
แต่ชิงจือก็โยนเสื้อผ้าหนึ่งชุดให้กับเฉินเฟิง ส่ายศีรษะและพูดว่า
“ไม่ได้”
เฉินเฟิงต้องการที่จะหาร่องรอยการล้อเล่นบนใบหน้าของชิงจือ แต่น่าเสียดายที่ เธอจริงจังมาก
เฉินเฟิงก็ยังคงไม่เชื่ออยู่บ้าง เขาคิดว่าอักสักครู่ ชิงจือก็คงจะยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า เธอก็แค่ล้อเล่น
จนกระทั่งตอนที่เฉินเฟิงยืนอยู่บนถนนกลางป่า แล้วด้านหลังคือบ้านหลังเล็กของชิงจือ เขาจึงทราบได้ว่าผู้หญิงคนนี้ใจร้ายอย่างมาก ซึ่งลักษณะภายนอกที่งดงามของเธอนั้นมันไม่สอดคล้องกับจิตใจที่โหดร้ายของเธอเอาเสียเลย แต่ก็ต้องจำยอม เพราะเขาก็สู้ชิงจือไม่ได้ นอกจากจะกลับออกไปแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก
ความมืดปกคลุมไปทั่วป่าเขาแห่งนี้ แม้แต่ตนเองอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจทราบได้ เฉินเฟิงก็ยังคงต้องลองเดินไปตามเส้นทางลงเขา
เส้นทางบนภูเขาเดินลำบากมาก แสงจันทร์ช่วยได้เพียงให้เฉินเฟิงมองเห็นเส้นทางภาพรวม ส่วนที่เขาสามารถทำได้นั้นก็คือค่อย ๆ สำรวจเส้นทางต่อไป
มีบางเส้นทางที่ค่อนข้างลาดชันได้ปูแผ่นก้อนหินเอาไว้ น่าจะเป็นชิงจือที่เป็นคนทำ ช่วยทำให้ เฉินเฟิงมีเส้นทางการเดินที่สะดวกขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไงก็ยังคงรู้สึกว่าการเดินลงจากภูเขาเป็น อุปสรรคที่ยากมากเรื่องหนึ่ง
เขาจับไปที่กระเป๋า ด้านในมีเพียงแค่กุญแจรถที่ชิงจือได้ให้ไว้ตอนก่อนที่จะออกมา เธอบอกกับ เฉินเฟิงไว้ว่า รถของเขาจอดอยู่ในที่จอดรถบริเวณตีนเขา
“ช่างมันเถอะ รอจนถึงตีนเขาก็สบายแล้ว”
แม้แต่คิดที่จะบ่นว่าก็ไม่มี ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังเตรียมที่จะเดินทางต่อไปนั้น ได้เห็นแสงไฟฉายส่องมาจากระยะไกล
เฉินเฟิงสงสัยจึงได้มองไปดูว่า เวลานี้ยังมีคนขึ้นมาบนภูเขาอีกเหรอ?
เขายืนอยู่ตรงนั้นชั่วครู่ พวกคนที่กำลังขึ้นมาบนภูเขาก็ได้เดินเข้ามาใกล้
ฝั่งนั้นมีกันอยู่สี่คน เป็นผู้ชายทั้งหมด แต่ละคนสะพายกระเป๋าท่องเที่ยว ดูเหมือนว่าจะมาท่องเที่ยว แต่ต่อให้มาท่องเที่ยว ก็คงจะไม่มาปีนเขาในตอนกลางคืนแบบนี้
เฉินเฟิงสงสัยและมองสำรวจไปยังพวกเขากี่คนนั้น
คนพวกนั้นมองเห็นเฉินเฟิง ก็ตกใจขึ้น แต่สังเกตได้ว่าเฉินเฟิงเป็นคน จริงแท้แน่นอน จึงเบาใจลงได้บ้าง
“เพื่อน นี่คุณกำลังทำอะไร? ”
ชายวัยกลางคนที่หน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราคนหนึ่งในนั้นถามขึ้น
“ข้าถูกคนด้านบนเขาขับไล่ลงมา! ”
เฉินเฟิงตอบไปด้วยความสัตย์จริง
“แล้วพวกนายมาทำอะไรกัน? ทำไมดึกดื่นขนาดนี้ยังจะมาปีนเขาอยู่ที่นี่อีก”
ชายอีกคนหนึ่งที่สวมแว่นตาได้ตอบคำถามขึ้น
“พวกเราขึ้นมาเพื่อรอดูพระอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ เพราะไม่อยากที่จะอยู่รอบนเขาอีกหนึ่งวัน ดังนั้นจึงเลือกเวลานี้ปีนเขาขึ้นมา”
แม้ว่าเฉินเฟิงจะไม่ทราบว่าเหตุผลนี้เป็นจริงหรือเท็จ แต่ได้ฟังแล้วมันก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสม
“อย่างนั้นพวกนายก็ปีนเขาต่อได้เลย อืม ใช่แล้ว หากตอนนี้จะลงไปด้านล่างจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ที่นี่ห่างจากที่จอดรถที่ตีนเขาไกลมากไหม? ”
ได้ยินเฉินเฟิงถามขึ้นแบบนี้ ชายที่มีหนวดเคราคนนั้นมองไปที่เฉินเฟิงด้วยความสงสัยและได้ตอบกลับว่า
“พวกเราได้เริ่มต้นปีนเขาขึ้นมาจากที่นั่นตอนเวลาประมาณบ่ายสามโมง ตอนนี้สามทุ่มแล้ว”
เฉินเฟิงมองไปยังป่าเขาที่มืดมิดอันไกลโพ้น เขารู้สึกหมดหวัง
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นว่าชิงจือ
“ผู้หญิงใจร้ายคนนั้น ทำไมถึงปล่อยให้ข้าต้องตกระกำลำบากอยู่กลางป่าเขาในตอนกลางคืนแบบนี้ด้วย”
แต่ชิงจือคงไม่มีทางที่จะได้ยินเฉินเฟิงบ่นว่าเธอแน่นอน
ขณะที่กำลังทุกข์ใจ ชายผู้ที่มีหนวดเคราก็ได้พูดขึ้นว่า
“เพื่อนข้าเห็นว่านายไม่ควรที่จะลงเขาไปในตอนนี้ หรือว่าจะรอดูพระอาทิตย์กับพวกเรา แล้วพรุ่งนี้ค่อยลงเขาไปพร้อมกันว่าอย่างไรล่ะ”
เฉินเฟิงคิดเล็กน้อย รู้สึกว่ามันก็ได้ทั้งนั้น จึงได้พยักหน้าตอบตกลง
ทั้งห้าคนเริ่มปีนเขากันอีกครั้ง และเฉินเฟิงก็ได้สอบถามชื่อของแต่ละคน