ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 819
บทที่ 819 ทางเลือกสำหรับมหาปรมาจารย์
ถ้าเกิดเขาและชิงชิวอยากจะพัฒนาไปมากกว่านี้ งั้นการปล่อยให้ชิงจือตายไปน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
เฉินเฟิงเงียบอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
เขาเองก็กำลังครุ่นคิด ถ้าเกิดทุกอย่างเป็นไปตามที่ชิงชิวบอกมาล่ะก็ งั้นโลกแห่งลวงตาแห่งนั้นบางทีอาจเลือกคนที่อยู่ใกล้ชิงจือมากที่สุดอย่างเขาหรือชิงชิวหนึ่งในสองคนนี้
ระดับของมหาปรมาจารย์ มีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้มากมายที่อยากไปให้ถึงจุดนั้น เป็นสิ่งที่คนในวงการศิลปะการต่อสู้ต่างฝ่ายหา
แต่สิ่งที่ได้มาก็คือต้องทำการต่อสู้แย่งชิงเพื่อ12 ปรมาจารย์สุดยอด นี่มันราวกับเป็นเรื่องตลก ที่ติดอยู่ในจิตใจของเหล่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้
แต่สิ่งที่โชคดีก็คือ ไม่มีใครรู้ว่า พวกเขายังคงไล่ตามสิ่งที่พวกเขาปรารถนาต่อไป บางทีพอพวกเขารอจนเข้าใกล้แล้วจริงๆ พวกเขาก็คงไม่เหลือเวลาให้ปีนขึ้นไปได้อีก
เดินไปสิบกว่าก้าว เฉินเฟิงถึงตอบกลับไปว่า
“ฉันไม่อยากฉวยโอกาสคนอื่น”
ดูเหมือนว่าคำตอบนี้ชิงชิวรู้อยู่ก่อนแล้ว เขายิ้มอย่างผ่อนคลาย
“แกยิ้มอะไร ถ้าเกิดแกคิดแบบนั้นจริงๆ แกเองก็คงไม่ไปหาหญ้าหลงสือหรอก”
เฉินเฟิงรู้สึกได้ถึงความผิดปรกติจึงพูดออกไป
“ท่านเชื่อใจข้าขนาดนี้เลยเหรอ ถ้าเกิดหญ้าหลงสือนี้มีแต่จะทำให้นางตายเร็วขึ้นล่ะ? หรือถ้าเกิดข้าไม่คิดจะช่วยนางตั้งแต่แรกล่ะ บางทีข้าอาจแค่ถ่วงเวลา บางทีพอพวกเรากลับไปถึงในตอนนี้ นางอาจจะตายไปแล้ว”
ชิงชิวหันหน้ากลับไปมองเฉินเฟิง ส่วนเฉินเฟิงก็กำลังอึ้งอยู่ เขาไม่เคยนึกถึงความเป็นไปได้แบบนี้มาก่อน
แต่ชิงชิวกลับยิ้มอีกครั้งแล้วพูดว่า
“ปล่อยให้เป็นเรื่องของชะตาลิขิต นั่นคือสิ่งที่ข้าตามหา”
แต่ตอนนี้เฉินเฟิงไม่รู้แล้วว่าคำพูดของเขาคำไหนจริง คำไหนปลอมกันแน่
ระหว่างทางก็มีบทสนทนาเพียงเท่านี้ หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับไปสู่ความเงียบอีกครั้ง
ส่วนสิ่งที่ชิงชิวพูดเป็นแค่คำพูดหยอกล้อเฉินเฟิงเท่านั้นเอง หลังจากที่กลับมา เขาก็นำสมุนไพรไปบดเป็นน้ำ แล้วทาใส่บาดแผลของชิงจือ
แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เธอใหม่ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆหายกลับเข้าไปยังทิศตะวันตก
แต่ตอนนี้จู่ๆชิงชิวก็พูดขึ้นมาว่าจะไปแล้ว
เฉินเฟิงมองดูเวลา จึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ
“แกจะไปตอนนี้หรอ แต่ว่าตอนนี้ข้างนอกใกล้มืดแล้วน่ะ”
“ไม่เป็นไร ตอนมาข้ามายังไง ตอนกลับก็กลับไปเหมือนเดิม”
ชิงชิวแบกกระบี่ของเขาแล้วเริ่มเดินออกไปข้างนอก
“หรือว่าแกมีเรื่องด่วนอะไร อีกอย่างตอนนี้อาการของเธอยังไม่แน่นอน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันไม่สามารถรับมือกับมันได้”
แน่นอนว่าเฉินเฟิงยังหวังว่าชิงชิวจะอยู่ต่อ ความไม่พอใจระหว่างพวกเขา เขาเองก็เคยสั่งสอนเขาไปแล้ว ตอนนี้ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่ต้องการเขา เฉินเฟิงจึงไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ
แต่ชิงชิวก็เดินออกนอกประตูไปแล้ว
“ถ้าเกิดยังช่วยเอาไว้ไม่ได้จริงๆ งั้นก็คงเป็นชะตากรรมของนาง ถึงเวลานั้นเจ้าคงได้รับการสืบทอดต่อ นั้นเองก็เป็นสิ่งที่ชะตาฟ้าลิขิต แน่นอนว่าเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ”
คำพูดของชิงชิวดูเหมือนกำลังพูดล้อเล่นอยู่ แต่เฉินเฟิงก็รู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดมันออกมาจากสิ่งที่เขาคิดจริงๆ
สุดท้ายเฉินเฟิงก็ไม่ได้รั้งชิงชิวเอาไว้ เขาเดินเข้าป่าก่อนที่จะพระอาทิตย์ตก เดินลงเขาด้วยถนนที่แคบแห่งนั้น
สิ่งที่ไม่สามารถรรั้งเอาไว้ไม่ได้มีเพียงแค่ชิงชิว ยังมีการจากไปของดวงอาทิตย์ ก็ราวกับความมืดที่ค่อยๆกลืนกินอาหาร พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลือแสงสว่างแล้ว
เฉินเฟิงจุดไฟในตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะ นั่นเป็นสิ่งๆเดียวที่สามารถให้แสงสว่างในห้องแห่งนี้
เขาไม่รู้ว่าตัวเองยังต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ชิงจือเคยช่วยเหลือเขา เขารู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องทำแบบนี้
แต่พอนั่งไปสักพัก จู่ๆเขาก็นึกถึงเรื่องตอนเช้าที่ชิงชิวเคยบอกกับเขา
หรือว่ามหาปรมาจารย์ถูกกำหนดเอาไว้แค่นั้น หรือว่าเดิมที่นี่เป็นเรื่องล้อเล่น ถ้าเกิดรอจนกระทั่งสามารถหลอมรวมของใหม่ๆขึ้นมา งั้นมันก็เหมือนกับหน้าผาที่ไม่มีทางออกที่ถูกน้ำซัดเข้ามาจนเขื่อนกั้นน้ำ ทุกทุบแตกอย่างรวดเร็ว
ในใจของเฉินเฟิงคิดแบบนี้ แต่ว่าลึกๆในใจของเขาก็มีบางอย่างบอกให้เขาเชื่อคำพูดของชิงชิว
จนกระทั่งเขาไม่รู้ตัวว่ากำลังมองไปยังชิงจือที่ยังนอนไม่ได้สติ
ความจริงเวลาที่ดูแลพวกเธอทั้งสองมันน่าเบื่อมาก สิ่งที่เขาทำได้มีแค่การรอคอย หรือไม่ก็ค่อยเปลี่ยนยาสมุนไพรที่อยู่ตรงหน้าอกของชิงจือ และเปลี่ยนผ้าพันแผล
ในที่สุดพอรอจนถึงตอนเย็นในวันที่สอง ในที่สุดเด็กผู้หญิงก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
พอเธอลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นเฉินเฟิง ก็ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก หวาดกลัวราวกับเจอคนแปลกหน้า
เฉินเฟิงคิดว่าเธอกำลังตกใจ จึงพูดปลอบไปว่า
“ไม่เป็นไร ไม่มีใครมาทำร้ายเธอ”
แต่ปฏิกิริยาของเด็กผู้หญิง เฉินเฟิงก็เหมือนกับคนชั่วที่ต้องการทำร้ายเธอ เขาลืมไปหมดแล้วว่าเคยรู้จักเฉินเฟิง
ทุกครั้งที่เฉินเฟิงเข้าไปใกล้เธอ เธอก็จะร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง จนเฉินเฟิงต้องถอยห่างออกมา ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
และไม่ว่าเฉินเฟิงจะใช้ของอะไรไปล่อ เพื่อปลอบใจว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ทั้งสองก็ยังมีระยะห่างอยู่ดี
จนกระทั่งถึงกลางคืน เวลาที่กินข้าว เฉินเฟิงก็เอาเป็ดย่างหนึ่งตัวมาวางตรงหน้าของเด็กผู้หญิง เธอจึงเริ่มมีขยับตัวเล็กน้อย
พอเธอเห็นเฉินเฟิงที่กำลังฉีกน่องเป็ดกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงค่อยๆยื่นขาเล็กๆของตัวเองออกไปอย่างระมัดระวัง อยากจะเดินออกไป แต่ก็ยังมีท่าทางที่หวาดกลัว พอเฉินเฟิงส่งสายตาไปหาเธอ เธอก็รีบเก็บขาของตัวเองกลับมา
พอเฉินเฟิงกินน่องเป็ดเสร็จ ก็ฉีกเป็ดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใหม่อีกรอบ แล้ววางไว้ข้างในจาน จากนั้นจู่ๆก็ทำเหมือนนึกอะไรสักอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ ฉันยังต้องผ่าฟืน นี่มันจะรอช้าไม่ได้ ไม่งั้นพรุ่งนี้ไม่มีฟืนให้ใช้แน่”
พอพูดจบ เขาก็รีบเดินออกไป
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในห้อง เขาไม่ได้ใส่ใจอะไร
และพอผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาก็ผ่าฟืนที่อยู่ในสวนแล้วเอามากองรวมกัน จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้อง
เขาเดินอย่างช้าๆ แต่พอใกล้ถึงหน้าประตูก็จงใจเพิ่มน้ำหนักตรงเท้าเพื่อให้เกิดเสียง และพอเดินเข้าไปยังข้างใน ก็ยังเห็นว่าเด็กผู้หญิงกำลังรีบร้อนกลับเข้าไปหลบอยู่ในมุมห้อง
เนื้อเป็ดที่อยู่บนจานหายไปบางส่วน แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก เฉินเฟิงแอบเห็นว่าตรงมุมปากของเด็กผู้หญิงมีคราบน้ำมัน เขาจึงยิ้มออกมา
ดำเนินไปแบบนี้ ในระหว่างที่ชิงจือยังไม่ได้สติ เฉินเฟิงก็เหมือนกับกำลังใช้ชีวิตเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ทั้งน่าเบื่อและน่าสนุกในเวลาเดียวกัน
แต่ว่าบางครั้งก็มีการเล่นสงครามประสาทกับเด็กผู้หญิง เขาหวาดกลัวเฉินเฟิงมาด้วยตลอด ดูเหมือนว่าหลังจากที่ตื่นขึ้นมา ความทรงจำที่เคยรู้จักเฉินเฟิงก่อนหน้านี้จะหายไปจนหมด
เวลาส่วนใหญ่ก็ยังดี เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่จะอยู่ในมุมห้องอย่างเงียบๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องอาบน้ำให้กับเด็กผู้หญิง ก็เหมือนกับกำลังทำร้ายเธอยังไงยังงั้น ร้องโวยวายว่าไม่อา แถมยังทั้งข่วนทั้งกัด เฉินเฟิงไม่กล้าใช้แรงเยอะ จึงต้องปล่อยให้เด็กผู้หญิงทำร้ายตัวเขา
แต่พอรอจนทุกอย่างจบลง เธอใส่เสื้อผ้าที่สะอาด แล้วเวลาที่นั่งบนเตียง ก็เหมือนกับแมวที่เชื่อง ที่นอนทิ้งตัวอย่างสบายใจ
แต่ระยะวาลาแบบนี้ก็อยู่ไม่นาน กระท่อมที่เงียบเหงาก็มีแขกเข้ามาเยี่ยมอีกครั้ง
คนที่มามีทั้งหมดสามคน ชายสองหญิงหนึ่ง
ผู้ชายทั้งสองเหมือนจะอายุมากแล้ว ผมขาวทั้งหัว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย
ผู้หญิงคนนั้นดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็น่าจะมีอายุราวๆสามสิบกว่า
เฉินเฟิงไม่รู้จักพวกเขา ส่วนพวกเขาพอได้เห็นเฉินเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าเป็นใคร?” ผู้หญิงถาม