ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 833
บทที่ 833 เด็กน้อย
เฉินเฟิงเข้าใจความหมายของเขา
หลังจากที่โลกนี้ถูกกลืนกินด้วยเงินทอง เหล่านักต่อสู้ต่างก็ต่างลุ่มหลงในกลิ่นเหม็นเน่าของเงิน
พวกเขาทำการแลกเปลี่ยนกับเหล้าเจ้านายผู้ร่ำรวย เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของพวกเขา หรือใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงถึงความสำเร็จ พวกเขาใช้เงินเพื่อที่จะเสพสุขกับความสะดวกสบายในโลก หรือใช้ในการเพิ่มจำนวนสมาชิกของตน คนในโลกใบนี้ล้วนกลายเป็นสินค้าสำหรับค้าขายไปแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเส้นทางของเหล่านักต่อสู้ พวกเขาไม่ได้มีจิตวิญญาณแห่งนักสู้ที่แท้จริงอีกแล้ว
“ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว สวรรค์ย่อมมีตา ตอนนี้หมอนั่นตายไปเพราะความโลภแล้วงั้นสินะ?” เฉินเฟิงพูด
“คงจะเป็นอย่างนั้น แต่เขาเป็นเพียงแค่คนเดียวที่ล้มไปเท่านั้น อีกไม่นานก็จะมีนักบวชคนใหม่มาปรากฏที่ทะเลทรายแห่งนี้อีกครั้ง และบางทีอาจจะมีความโหดร้ายและไร้ซึ่งความเป็นคนมากกว่าเขาอีก”
เมื่อเห็นท่าทีท้อแท้ของเขา เฉินเฟิงจึงเงียบลง ความลำบากของเขานั้นยากเกินที่จะเข้าใจ คำพูดเกลี้ยกล่อมทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์
เพียงไม่นานทั้งสามคนก็ออกมาจากทะเลทรายจนถึงชายแดนตัวเมือง
“ผมส่งพวกคุณมาได้ถึงที่นี่เท่านั้น” ชายชุดดำพูด
ด้านหลังของพวกเขาคือป้ายรถเมล์ จากตรงนี้ไปสามารถที่จะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองได้โดยตรง ถ้าหากเร็วกว่านี้สักหน่อยพวกเขาจะสามารถไปขึ้นรถไฟที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเดินทางกลับไปยังหุบเขาของชิงจือได้
เมื่อเห็นว่าชายชุดดำเตรียมที่จะไปแล้ว เฉินเฟิงจึงถามขึ้น
“คุณตัดสินใจที่จะทำอะไรต่อไป ตอนนี้เซวี่ยผิงก็ตายไปแล้ว ความแค้นของคุณก็ถูกชำระแล้ว ตอนนี้คุณไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ดินแดนรกร้างแบบนี้อีกแล้ว ถ้าหากว่าคุณไม่ว่าอะไร ผมสามารถหาที่สำหรับใช้ชีวิตในยันเจียงให้กับคุณได้”
แต่เขากับตอบปฏิเสธ “ผมคุ้นชินกับที่นี่แล้วล่ะ ถ้าหากออกไป ผมคงจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่”
เขายิ้ม “วันข้างหน้าผมคิดว่าจะพยายามเปลี่ยนแปลงทะเลทรายแห่งนี้ให้กลายเป็นพื้นที่ขาวสะอาด บางทีตอนนี้กำลังของผมยังมีไม่มากพอ แต่ว่าผมยังคงยินยอมที่จะทำเรื่องที่ตัวเองต้องการอย่างสุดกำลัง”
เฉินเฟิงรู้สึกชื่นชมเขาอย่างมาก อย่างน้อยเขาก็เป็นคนที่ยินยอมที่จะต่อสู้เพื่อความคิดของตัวเอง
“ก่อนที่จะกลับไป ฉันมีที่ที่หนึ่งที่อยากจะไปสักหน่อย” จู่ๆ ชิงจือก็หันมาพูดกับเฉินเฟิง
เฉิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะหลังจากที่ออกมาจากสถานที่นั้น เธอก็นิ่งเงียบมาตลอดทาง เดินนำหน้าอยู่คนเดียวไม่สนใจเฉินเฟิงและชายชุดดำเลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เธอจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเฉินเฟิงก่อน
เฉินเฟิงเลยถามกลับด้วยความสงสัย “อยู่แถวนี้หรอ?”
“อืม!” ชิงจิพยักหน้า
“จะให้ผมไปด้วยหรือเปล่า?” เขาถามอีกครั้ง
แต่ชิงจือกลับใช้สายตาที่แปลกประหลาดมองมายังเขา ก่อนจะพูดต่อ
“คุณเก่งกว่าฉันหรือไง?”
เดิมทีเขาแค่ต้องการแสดงน้ำใจเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเหมือนการดูหมิ่นชิงจือไปซะอย่างนั้น
ด้วยความนิ่งเงียบตลอดทางของชิงจือก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้เขาเข้าใจว่าชิงจือเป็นคนถ่อมตนแล้ว
เขาจึงรีบกล่าวขอโทษทันที
“เปล่า ผมก็แค่……”
แต่ชิงจือกลับพูดขัดคำของเขา “ถึงแม้ว่าคุณจะไปด้วยหรือไม่มันก็ไม่ต่างกัน แต่คุณติดตามฉันเอาไว้น่าจะดีกว่า”
หลังจากที่เดินวนไปได้พักหนึ่ง สุดท้ายเฉินเฟิงก็ไปกับชิงจือ ถึงแม้การร่วมทางแบบนี้จะเหมือนกับการถูกบังคับก็ตาม
พวกเขาขับรถคันหนึ่งที่ไปเช่ามาจากร้านเช่ารถ เฉินเฟิงเหลียวมองไปยังชิงจือที่เอาแต่เก็บตัวเงียบ เขาอยากจะถามว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปที่ไหนกันแน่ แต่สุดท้ายกลับไม่กล้าที่จะถาม
ทุกครั้งที่เกิดคลื่นลมก็มักจะนำเอาพายุทรายขนาดใหญ่พัดมาด้วย กระทั่งพายุทรายสงบลง พวกเขาก็สามารถมองเห็นคนเดินจูงฝูงวัวค่อยๆ เดินผ่านไป และหลังจากที่ขับรถบนถนนสายนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เฉินเฟิงก็ไม่อาจเก็บความรู้สึกสงสัยของเขาได้อีกต่อไปจึงได้ถามขึ้นมา
“คุณควรจะบอกผมหน่อยสิว่าเรากำลังจะไปที่ไหน นี่คุณจะให้ผมขับรถตรงไปเรื่อยๆ แบบนี้อีกเดี๋ยวก็จะไปถึงอีกเมืองแล้วนะ”
ชิงจือหันมาจ้องเขาด้วยสายตานิ่งขรึม “รอให้ถึงที่แล้ว ฉันจะบอกคุณเอง”
เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนี้ เฉินเฟิงจึงได้เพียงแต่ปิดปากเงียบ แล้วกลับไปเป็นคนขับรถอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านสิบกว่านาที ชิงจือก็เปิดปากพูดขึ้นมา “เข้าไปตรงนี้”
“แต่ว่าตรงนี้ดูเหมือนจะไม่มีถนนนี่หน่า?”
เฉินเฟิงถามอย่างประหลาดใจ แต่กลับได้รับเพียงความเฉยชาของชิงจืออย่างเคยเท่านั้น
ผ่านไปไม่นานนัก พวกเขาก็เจอกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภูเขารกร้างแห่งนี้ โดยมีชายแก่หลังค่อมคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงข้างทาง เมื่อได้ยินเสียงรถขับเข้ามา เขาก็ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก จากนั้นเฉินเฟิงจึงจอดรถลงข้างๆ ชายแก่พร้อมกับถาม
“คุณปู่ ที่นี่คือที่ไหนหรอครับ?”
ในเมื่อชิงจือไม่ยอมบอกกับเขา อย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงถามคนอื่นเท่านั้น
ชายแก่เงยหน้าขึ้นมองเฉินเฟิงชายแก่ตอบกลับอย่างเชื่องช้า
“ที่นี่คือหมู่บ้านยางซูตุนนะ พวกคุณเป็นใครกัน!”
เมื่อมองดูชายแก่อายุเยอะพูดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง จู่ๆ ตะโกนเสียงดังข้างหูของเฉินเฟิง ทำเอาเฉินเฟิงตกใจไปไม่น้อย
“อ๋อ ขอบคุณครับ พวกเรามาเที่ยวเล่นเฉยๆ ครับ”
“มาหาหยางสิงอี้สินะ เขาไม่อยู่บ้านหรอก เข้าไปในเมืองนุ่นแล้ว”
ถึงแม้เฉินเฟิงไม่รู้ว่าทำไมชายแก่คนนี้ถึงได้ยินว่าพวกเขามาตามหาหยางสิงอี้อะไรนั่น แต่เขายังคงยิ้มพลางกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“คุณคงไม่ได้มาหาหยางสิงอี้อะไรนั่นหรอกนะ?”
ในขณะที่ทั้งสองขับรถเข้าไปตามถนนของหมู่บ้าน เฉินเฟิงก็ถามขึ้นมา
“ไม่ใช่” ชิงจือตอบกลับ
“ฉันมาหาพ่อของเขา”
เฉินเฟิงกำลังจะบอกว่าคงจะไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก แต่ชิงจือกับพูดประโยคนั้นออกมาแล้ว
“พวกเขาสองคนเป็นใครกัน ถึงทำให้คุณต้องเดินทางมาหาพวกเขาด้วยตัวของคุณเองแบบนี้”
แต่คำถามนี้ก็เป็นเหมือนกับคำถามก่อนๆ ที่เขาเคยถามคือถูกเมินเฉยอีกครั้ง
เฉินเฟิงได้เพียงขมุบขมิบปากไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะจอดรถลงตรงบริเวณลานว่างของหมู่บ้าน
พอลงรถมา พวกเขากลับไม่รู้ว่าบ้านของหยางสิงอี้อยู่ที่ไหน ตอนแรกเขาคิดว่าชิงจือคงจะรู้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่มากนัก
คงจะเป็นเพราะเวลาผ่านไปนาน หรือที่นี่มีความเปลี่ยนแปลงไปมาก เลยทำให้เธอหลงลืมไปแล้ว
เด็กสองสามคนที่พิงอยู่ตรงท่อนไม้วิ่งเข้ามาตรงหน้าของเฉินเฟิง
“พวกคุณมาจากข้างนอกหรอครับ?”
เด็กน้อยอ้วนท้วมที่อยู่ข้างหน้าถามกับเฉินเฟิง
เฉินเฟิงมองเด็กชายอ้วนท้วมคนนี้พลางรู้สึกสนุกขึ้นมา เขาเลยกลับไปหยิบเอาลูกอมที่ซื้อมาตอนแวะเติมน้ำมันออกมา ก่อนที่เขาจะนั่งหยองๆ ลงแล้วพูดกับพวกเด็กๆ
“ถ้าหากว่าพวกเธอพาฉันกับพี่สาวคนนี้ไปหาบ้านของหยางสิงอี้ ลูกอมพวกนี้เอาให้พวกเธอเลย”
เด็กชายอ้วนท้วมมองดูลูกอมในมือของเฉินเฟิงด้วยความอยาก ก่อนที่เด็กที่อยู่ข้างๆ เขาอีกคนจะใจกล้าเสนอตัวอาสาพาพวกเขาไป
“ผมรู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ผมจะพาพวกคุณไปเอง จะให้ลูกอมผมเพิ่มอีกอันได้ไหมครับ”
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ทำให้เด็กชายอ้วนท้วมเกิดความไม่พอใจขึ้น
“ผมก็รู้เหมือนกัน ผมจะพาพวกคุณไปเอง ไม่ต้องให้เขาพาไปหรอก”
เฉินเฟิงหัวเราะออกมา
“ได้ๆ ให้คนละอัน แบ่งให้ทุกคน”
ชิงจือใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปที่เฉิงเฟิงอีกครั้ง
“ที่แท้คุณก็ไม่ใช่คนดี”
เฉินเฟิงถึงกับตะลึงงัน ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมชิงจือถึงพูดแบบนี้ แล้วในตอนที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม ชิงจือก็ได้เดินตามเด็กพวกนั้นไปแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรีบเดินตามพวกเขาไปอย่างเร่งรีบเท่านั้น ด้วยความที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ฉะนั้นการหาบ้านของหยางสิงอี้จึงเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากที่ผ่านโค้งข้างหน้าไปนิดเดียว พวกเด็กๆ ก็บอกกับเฉินเฟิงว่าถึงแล้ว