ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 843
เมื่อทั้งสองขึ้นรถ เขาก็ขับรถออกไปทันที รถอันโดดเดี่ยววิ่งแล่นอยู่กลางถนนบนพื้นที่อันกว้างใหญ่ มุ่งทะยานไปสู่เส้นทางสุดขอบฟ้า
ในเวลานี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยปุยเมฆสีขาวสะอาด ท่ามกลางผืนฟ้าอันไร้ขอบเขตนี้ หมู่เมฆค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง ราวกับได้เห็นภาพลวงตา
ก่อนที่แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องมาบนตัวของเฉินเฟิงในขณะที่เขากำลังขับรถ โดยมีชิงจือนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนเยว่เอ๋อที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ถอดกระเป๋าเป้ของตัวเองมาวางไว้หน้าตักเหมือนว่าต้องการจะงีบหลับ
หลังจากผ่านไปไม่นานเขาก็ขับรถเข้าไปในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง เฉินเฟิงเดินลงจากรถแล้วปล่อยให้พนักงานเติมน้ำมันไปในขณะที่เขาเดินลงไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ข้างๆ เพื่อซื้อของกินและน้ำดื่ม
กระทั่งเขาเดินออกมาจากร้านก็เห็นว่ามีรถตู้SUVสีดำหลายคันกำลังขับแล่นเข้ามาในปั๊มน้ำมัน ก่อนจะล้อมรถของเฉินเฟิงเอาไว้
เยว่เอ๋อที่นั่งอยู่ด้านหลังเห็นแบบนั้นถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาซึ่งเฉินเฟิงก็พอจะคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคือใคร
เขารีบสาวเท้าเดินกลับไปทันที
แล้วคนที่เดินลงมาจากรถก็คือชายชราที่มือถือไม้เท้าคนนั้นจริงๆ ไม้เท้าเหล็กนั่นของเขากระทบลงบนพื้นจนเกิดเสียงกระแทกดังขึ้นมา
เขาเหลียวหันไปมองเฉินเฟิงที่กำลังเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ
ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึม: “ในเมื่อคุณชายไม่เชื่อในตัวผม ก็ไม่ควรจะทำเรื่องแบบนี้
เฉินเฟิงแอบหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะทำสักหน่อย
แต่ด้วยเดิมทีเขาไม่ค่อยชอบใจกับการได้เจอกับเขาอยู่แล้ว จึงตอบกลับอย่างไม่ไยดี
“คุณพาคนมาเยอะขนาดนี้ ดูแล้วคงคิดจะมาแย่งคนกลับไปสินะ แต่ไม่รู้ว่าคุณจะมีความสามารถนั้นหรือเปล่า”
ชายชราตอบกลับอย่างเยือกเย็น: “ผมรู้ว่าคุณอยู่ในระดับชั้นสูง ในดินแดนแห่งนี้คนที่จะเอาชนะคุณได้คงมีไม่มาก แต่หากคุณกล้าดูถูกนักสู้แห่งใต้หล้า คุณก็อยู่ไม่ไกลจากความตายมากแล้ว”
เฉินเฟิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม: “ผมไม่ได้ดูถูกนักสู้แห่งใต้หล้าหรอก หรอก ผมก็แค่ดูถูกคุณเท่านั้น”
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว ก่อนที่จะมีชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ เขาใช้มือลูบหนวดเล็กๆ ที่ห้อยลงมาตรงคาง แล้วมองเฉินเฟิงด้วยความเบื่อหน่าย
“คุณก็คือเฉินเฟิง?ดูแล้วในเมื่อคุณสามารถหนีรอดมาจากสำนักเทียนซานได้ แสดงว่าคุณก็คงมีความสามารถไม่น้อยเลยทีเดียว”
เฉินเฟิงเริ่มระมัดระวังตัวต่อการกระทำของอีกฝ่าย เขาไม่เคยเจอกับผู้ชายคนนี้มาก่อน แต่ในเมื่อหลังจากที่รู้จักตัวตนของเขาแล้วยังกล้าพูดจาแบบนี้ แสดงว่าเขาคงจะไม่ใช่คนธรรมดาไร้ความสามารถแน่นอน
“จะว่าไปคุณเป็นใครอีก หรือจะเป็นแค่คนนิรนามคนหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ยังคร้านที่จะเล่นด้วย”
ชายหนวดแคระยิ้มเยาะออกมา : “งั้นก็จะทำให้คุณได้รู้ว่าคุณจะต้องมาตายในเงื้อมมือของคนที่ถูกขนานนามว่าตู๋กูหยุนกระเรียนพันลี้”
เฉินเฟิงได้ยินอย่างนั้นจึงพูดขึ้นมาทันที: “ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง!”
ชื่อนี้เฉินเฟิงเคยได้ยินมาก่อน เขานั้นเป็นนักต่อสู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโม่เป่ย แต่ด้วยนิสัยรักสันโดษของเขาจึงทำให้น้อยคนนักที่จะได้ยินเรื่องราวของเขา
และเรื่องที่มีชื่อเสียงของเขาที่สุดคือเมื่อสามปีก่อนเขาสามารถต่อสู้กับมหาปรมาจารย์ท่านหนึ่งได้ถึงสิบแปดกระบวนท่ากว่าจะล้มลงไปได้ ซึ่งสามารถนับได้ว่าเขาเป็นหั้วจิ้งชั้นสูงสุดผู้มีฝีมือชั้นยอดเลยทีเดียว
เฉินเฟิงรู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาต่อสู้กับชิงจือเกินสามกระบวนท่า ฉะนั้นดูท่าแล้วอีกฝ่ายน่าจะมีความเก่งกาจกว่าเขามาก
แต่ว่าเฉินเฟิงไม่ได้มีนิสัยยอมแพ้ก่อนที่จะลงมือสู้ และเลวร้ายไปกว่านั้นคือยังมีอีกคนที่นั่งรออยู่ในรถด้วย
ในตอนนั้นเองชายชราที่อยู่อีกฝั่งก็พูดขึ้น : “คุณชายเฉิน ก่อนหน้านี้ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเรา ผมถึงไม่ได้คิดทำอะไรกับคุณ แม้แต่ทางสำนักเทียนซานผมก็ไม่ได้แจ้งข่าวของคุณด้วย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะกล้าทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ได้ และเมื่อเป็นแบบนี้ผมคงจะเอาคุณไว้ไม่ได้แล้ว”
เฉินเฟิงตอกกลับทันที: “อย่ามาเสียเวลาพูดไร้สาระ จะสู้ก็รีบสู้ ผมจะเป็นคู่มือให้เอง”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ ตู๋กูหยุนก็กระโจนเข้ามาหาเขาแล้ว ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทัน เพราะเพียงแค่เขาตวาดหมัดออกมาเบาๆ ก็สามารถนำเอาลมพัดผ่านเข้ามาด้วย
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบหลบทันที แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับปล่อยหมัดออกมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว หมัดนั้นดูรุนแรงอย่างมาก ซึ่งถ้าหากโดนหมัดนี้ซัดเข้าไป เกรงว่าเขาคงจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน และมันอาจจะบาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายในเลยก็ว่าได้
เฉินเฟิงที่คิดได้แบบนั้นก็รีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว จนกระแทกเข้ากับประตูกระจกที่อยู่ด้านหลัง ด้วยแผ่นกระจกนั้นถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแรงทนทานจึงไม่ได้เสียหายอะไร แต่แล้วตู๋กูหยุนก็กระโจนเข้ามาก่อนจะฟาดเท้าเข้าไปโดนกระจกจนแตก
เหล่าพนักงานที่เมื่อสักครู่นี้ที่ดูยังคึกคักอยู่ ตอนนี้ต่างพากันหนีไปหาที่กำบังตัว บางคนก็พยายามหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ ในขณะที่บางคนก็หลบซ่อนอยู่ในมุมไม่กล้าออกมา
ครั้งนี้เฉินเฟิงหลบฝ่าเท้าของตู๋กูหยุนได้อีกครั้ง ส่วนของที่เสียหายในครั้งนี้คือป้ายหน้าร้าน ซึ่งการเคลื่อนไหวที่รุนแรงพร้อมด้วยความรวดเร็ว ทำให้ยากที่จะรับจะมือได้
ตอนนี้ดูจากสถานการณ์เฉินเฟิงทำได้แค่เพียงหลบเลี่ยงอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แม้ในใจของเขาก็แอบกรีดร้องออกมา เพราะชายคนนั้นดันมีความเก่งกาจถึงขั้นที่สามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่องจนไม่มีโอกาสให้เฉินเฟิงได้ตอบโต้เลย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
และแล้วในที่สุดเฉินเฟิงก็สามารถหาโอกาสเอาคืนได้ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังผ่อนลมหายใจ เขาปล่อยกระบวนท่าติดต่อกันจนอีกฝ่ายต้องถอยออกไปเพื่อปัดป้อง
ซึ่งในตอนที่พวกเขาสองคนกำลังต่อสู้กันไปมาอยู่นั้น ชายชราก็ถือไม้เท้าพยุงตัวเองเดินไปยังรถของเฉินเฟิง เขาเปิดประตูออก โดยที่เยว่เอ๋อกำลังนั่งอยู่ด้านในมองมายังเขาด้วยความหมดอาลัย
“ยังจะไม่ออกมาอีก ทำไมยิ่งโตยิ่งไม่เชื่อฟังแล้วนะ”
ทว่าเยว่เอ๋อกลับหวาดกลัวจนถอยไปข้างหลัง ชายชราที่เห็นอย่างนั้นก็หวังจะเข้าไปจับตัว
ชิงจือคว้าข้อมือของชายชราเอาไว้ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาบาง: “ฉันเป็นคนพาเธอมา การที่เธอจะกลับไปด้วยหรือไม่ฉันเป็นคนตัดสินเอง”
ชายชรามองไปยังชิงจือ เขาไม่คิดเลยว่าชิงจือจะเข้ามาขัดขวางเขาแบบนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักชิงจือฉะนั้นเขาจึงยิ่งใช้น้ำเสียงข่มขู่มากยิ่งขึ้น
“แม่สาว ฉันว่าเธออย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า”
ชิงจือไม่พูดอะไรทั้งนั้นก่อนจะผลักเขาออกไป
ชายชราถอยหลังไปแม้กระทั่งไม้เท้ายังไม่สามารถช่วยพยุงเอาไว้ได้อีกแล้ว แต่ยังโชคดีที่ด้านหลังมีคนเข้ามาช่วยประคองเขาไว้ จึงทำให้เขาไม่ได้ล้มลงไป
ส่วนอีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ระหว่างเฉินเฟิงและตู๋กูหยุนก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่เฉินเฟิงดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อย
“ก็ดี!” ชายชราอุทานออกมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่ามาหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน”
เมื่อพูดจบเขาก็ส่งสัญญาณมือให้คนที่อยู่ข้างๆ เริ่มลงมือได้ ก่อนที่ชายกลุ่มหนึ่งจะเดินลงจากรถพร้อมกับอาวุธมากมายที่อยู่ในมือ
แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือคนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าคือชิงจือ
ชิงจือเปิดประตูรถออกพลางเดินลงมาจากรถอย่างช้าๆ เพื่อรับมือกับพวกเขาที่ฝีมือไม่เทียบเท่ากับเธอเลยแม้แต่น้อย
และเพราะอย่างนั้นเธอเลยตัดสินใจจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
ในขณะที่ตู๋กูหยุนกำลังฟาดเท้าใส่เฉินเฟิงจนถอยหลังไปสองก้าว ทางด้านชิงจือก็ได้กระทืบพวกเขาที่อยู่ตรงนั้นจนกระเด็นไปนอนลงกับพื้นระเนระนาดได้หลายคนแล้ว
ชายชราที่เห็นแบบนั้นจึงถอยเข้าไปอิงกับรถ แม้แต่ไม้เท้ายังไม่สามารถพยุงให้เขายืนได้อีกแล้ว ตอนนี้เขาได้แต่มองไปยังชิงจือด้วยความหวาดกลัว
“เธอเป็นใครกันแน่”
ซึ่งในตอนนั้นเองตู๋กูหยุนที่ต่อสู้กับเฉินเฟิงก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางนั้น
ตอนที่เขาได้เห็นใบหน้าของชิงจือก็ถึงกับตะลึงงันไปเลยทันที จึงถูกเฉินเฟิงที่ใช้โอกาสในตอนนั้นปล่อยหมัดใส่เขาทันที
ปากของเขาพึมพำออกมา: “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
แต่เฉินเฟิงกลับไม่สนใจว่าเขากำลังหวั่นใจกลัวอะไร เพียงแต่ตวาดฝ่าเท้าออกไปกระแทกบนใบหน้าของเขา
ตู๋กูหยุนที่เรียกสติกลับมาได้ใช้มือทั้งสองประกบใบหน้าเอาไว้ เขาเพียงแต่โดนเตะจนถอยหลังไปหลายก้าว แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมาย
เขามองไปยังเฉินเฟิงก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง: “คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมาอยู่กับคุณได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นวันนี้ผมจะไว้ชีวิตคุณไปก่อน หากได้เจอกันครั้งหน้าผมไม่มีทางออมมือให้คุณอีกเด็ดขาด”
เขาพูดจบก็หันหลังวิ่งหนีไป เฉินเฟิงเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันที แต่เมื่อหันไปมองยังชิงจือ เขาก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปตอน