ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 849
หญิงสาวแต่งตัวเซ็กซี่จ้องมองเฉินเฟิงราวกับอยากจะเข้าไปกัดเขาให้ตาย ส่วนทางด้านหลี่จื่อเยว่เองก็รู้สึกว่าเขากำลังทำเกินเลย
เธอจึงกระตุกเสื้อของเฉินเฟิงเบาๆ แล้วพูดด้วยเสียงอ่อน : “ไม่ต้องไปรังแกเธอแบบนี้แล้ว แค่นี้เธอก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว”
เฉินเฟิงจ้องหลี่จื่อเยว่พร้อมกับพูด: “เธอนี่ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาอยู่วันยังค่ำเลยนะ เหมือนเธอจะลืมไปแล้วนะว่าเมื่อกี้นี้ผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกับเธอไว้”
แต่เมื่อดูท่าทีของหลี่จื่อเยว่แล้ว เฉินเฟิงได้เพียงหันไปพูดกับหญิงสาวคนนั้นอย่างผ่อนคลายเท่านั้น : “ดูสิ หล่อนดีขนาดไหนเชียว ยังไม่รู้จักขอบคุณหล่อนอีก แต่ช่างเถอะ คุณรีบไปเถอะ”
เมื่อเฉินเฟิงพูดจบ พี่เหมยก็สะอึกสะอื้นเดินออกไป
เหตุการณ์ครั้งนี้กลายเป็นดั่งพายุฝนอันเรียบง่าย และนั่นทำให้พนักงานในร้านคนนั้นต้องมองเฉินเฟิงด้วยสายตาที่อึ้งตะลึงกับการกระทำของเขา จากนั้นในตอนที่เข้าไปชำระเงินเธอก็ยิ้มให้กับพวกเขาตลอด
ทั้งยังนำเสนอเสื้อผ้าอื่นๆ ในร้านให้กับเฉินเฟิงอย่างไม่หยุดหย่อนอีกด้วย เหมือนกับกำลังบอกให้เฉินเฟิงซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดในร้านไป
ทว่า ถึงแม้ว่าเฉินเฟิงจะร่ำรวยแต่เขาก็ไม่คิดที่จะทำเรื่องแบบนี้จริงๆ อีกอย่างก็ไม่ได้มีการพนันแล้วด้วย
จนกระทั่งพวกเขาเดินจากไปเขาก็ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดนั้นจริงๆ ทำให้พนักงานคนนั้นได้เพียงส่งสายตาคร่ำครวญออกมาเท่านั้น
แต่ในความรู้สึกของหลี่จื่อเยว่ที่มีต่อเฉินเฟิงนั้นเขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว เธอรู้สึกว่าเขากับผู้ชายขี้เกียจคนนั้นในความทรงจำของเธอพวกเขาสองคนมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความไม่เข้าใจบางอย่าง ดังนั้นเธอจึงทำเพียงเดินตามเฉินเฟิงไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ส่วนเฉินเฟิงที่เห็นแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ จึงคิดแค่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้คงจะทำให้เธอตกใจไปบ้าง
เมื่อกลับมาถึงโรงแรม หลี่จื่อเยว่ก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอย่างนิ่งเงียบ โดยที่เฉินเฟิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร
และแล้วค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอย่างเงียบสงบ
เฉินเฟิงคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องกลับไปเดินทางอีกครั้งแล้ว เขาไม่อยากปล่อยให้ชิงจือรอนานเกินไป ไม่อย่างนั้นหลังจากนั้นเธออาจจะทำเรื่องบางอย่างที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดก็เป็นได้
เขาเดินไปเคาะประตูห้องของหลี่จื่อเยว่ วันนี้เหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย เพราะทันทีที่เห็นเฉินเฟิงเธอก็ยิ้มให้เขาทันที
เธอลากกระเป๋าใบหนึ่งพร้อมกับสะพายกระเป๋าใบเดิมที่เธอพกมาด้วยตั้งแต่แรก พร้อมกับเฝ้าคอยการเดินทางของพวกเขาที่กำลังจะเริ่มขึ้น
เฉินเฟิงที่เห็นอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไร ทั้งยังไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยเธอยกกระเป๋าอีกด้วย เขาเพียงแต่เดินออกมาด้านหน้าตัวเปล่าอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของหลี่จื่อเยว่
“หื้ม!ยังไงซะเขาก็ยังเป็นแค่คนนิสัยไม่ดีเหมือนเดิม”
แต่เขาได้ยินคำพูดประโยคนี้
เมื่อขึ้นมาบนรถ ทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ขาดเพียงอย่างเดียวคือชิงจือ การขาดเธอไปก็เหมือนขาดอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าชิงจือจะไม่ชอบพูด แต่การมีเธอนั่งอยู่ตรงนั้นมันทำให้รู้สึกว่าการมีใครอีกคนเพิ่มเข้ามายิ่งทำให้มีความสบายใจมากขึ้น
เฉินเฟิงไม่ได้คิดมาก ก่อนที่จะสตาร์ทรถขับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง
ทางด้านหลี่จื่อเยว่เหมือนว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้เธอจะลืมความทุกข์ใจที่ตัวเองหนีออกจากบ้านมาแล้ว เธอชื่นชมบรรยากาศริมทางพร้อมด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
และนั่นก็ทำให้เฉินเฟิงรู้ว่าที่จริงแล้วเธอเป็นคนพูดมากคนหนึ่ง ไม่มีความสงบเสงี่ยมเลยแม้แต่น้อย จนถึงขนาดที่มีแวบหนึ่งที่เขาคิดอยากจะเอาเธอโยนทิ้งไว้ข้างทางเสีย
แต่สุดท้ายความคิดนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
“นั่นอะไรหน่ะ?” จู่ๆ หลี่จื่อเยว่ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังเมื่อได้เห็นกองไฟขนาดใหญ่ที่กำลังปะทุ
เฉินเฟิงที่ได้ยินเสียงตะโกนของเธอถึงกับตกใจ ก่อนที่เขาจะหันไปดูทางที่กองไฟนั้นตั้งอยู่ ราวกับว่าตรงนั้นจะมีผู้คนจำนวนมากล้อมรอบกองไฟเอาไว้พร้อมกับกำลังทำกิจกรรมอวยพรบางอย่าง
เฉินเฟิงส่ายหน้า : “ไม่รู้ และฉันก็ไม่สนใจด้วย”
แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้หลี่จื่อเยว่ไปที่นั่น แต่หลี่จื่อเยว่นั้นกลับถูกสิ่งนั้นดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นไปแล้ว เธอพูดกับเขาต่อด้วยเสียงที่อ้อนวอน : “พวกเราเข้าไปดูหน่อยจะได้ไหม?เสียเวลาไม่เยอะหรอก”
แต่เฉินเฟิงยังคงคัดค้าน: “ไม่ได้ก็คือไม่ได้”
แต่ว่าหลี่จื่อเยว่กลับกระโจนขึ้นมาอยู่ตรงไหล่ของเฉินเฟิง เธอพยายามนวดไหล่ของเฉินเฟิงอย่างตั้งใจพร้อมกับพูดอีกครั้ง : “พวกเราเข้าไปดูหน่อยนะ แค่ครู่เดียวจริงๆ ”
เฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงมืออันอ่อนโยนทั้งสองที่ให้ความรู้สึกลื่นไหลที่แนบชิดอยู่บนไหลของเขา ทำให้หัวใจของเขาเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมา
แต่ด้วยทิฐิเมื่อสักครู่นี้ของเขาทำให้ไม่สามารถตอบตกลงไปโดยตรง เขาจึงตอบกลับได้เพียง: “แค่ครู่เดียวต้องกลับมา”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ หลี่จื่อเยว่ก็ไม่ได้คิดมากอะไรอีกเพราะแค่อยากไปดูเพียงครู่เดียวก็กลับมา จากนั้นเธอจึงตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
สุดท้ายเฉินเฟิงก็ต้องขับรถมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น
และที่นั่นก็มีรถจำนวนมากจอดเรียงรายอยู่ข้างทาง อีกทั้งยังมีรถหรูจำนวนไม่น้อยรวมอยู่ในนั้นด้วย ซึ่งล้วนเป็นรถที่มีมูลค่าทั้งนั้น
เฉินเฟิงขับรถไปเรื่อยๆ จนหาที่ว่างสำหรับจอดรถได้ ทันทีที่จอดรถหลี่จื่อเยว่ก็รีบลงรถไปอย่างรอไม่ไหว จากนั้นเฉินเฟิงจึงเดินตามลงมา
กองไฟนั้นอยู่ใจกลางทุ่งโล่ง บริเวณโดยรอบถูกล้อมเอาไว้ด้วยโขดหิน พร้อมทั้งมีพืชพรรณที่ดูเหมือนจะไม่มีทางเติบโตได้อีกจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น
ซึ่งมีหนุ่มสาวจำนวนมากมายกำลังล้อมรอบกองไฟนั้นเอาไว้ ซึ่งดูแล้วน่าจะมีมากกว่าร้อยคน และแต่ละคู่ก็กำลังเต้นรำอยู่หน้ากองไฟนั้น ส่วนคนที่อยู่นอกวงก็ยืนเป็นกลุ่มคอยมองดูอยู่อย่างนั้น
กระทั่งในตอนที่เฉินเฟิงพวกเขาสองคนเดินเข้าไปก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนเหล่านั้นเลย ราวกับว่าพวกเขาคุ้นชินกับการที่มีคนเข้าออกที่นี่ไปแล้ว
หลี่จื่อเยว่เดินแหวกฝูงคนตรงเข้าไปดูข้างในเพื่อชื่นชมการเต้นรำอันแสนสนุกข้างในนั้น
ส่วนเฉินเฟิงก็เดินไปอยู่ข้างๆ ชายร่างบางคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในพร้อมกับเริ่มสนทนากับอีกฝ่าย : “ที่นี่คือกิจกรรมอะไรงั้นหรอ?”
อีกฝ่ายหันมามองเฉินเฟิงแล้วตอบกลับ: “พวกเรากำลังทำการสวดภาวนา และการเต้นรำก็คือการถวายพระพร”
“สวดภาวนาอะไร?”
“ส่วนมากจะเป็นเรื่องความรัก และก็มีเรื่องอื่นๆ บ้าง”
เฉินเฟิงกล่าวขอบคุณเขา ก่อนจะหันไปหาหลี่จื่อเยว่ แต่แค่เขาละสายตาเพียงครู่เดียว เธอก็ไม่ได้อยู่ข้างกายเขาเสียแล้ว
เขาตามหาอยู่ครู่ถึงค่อยเห็นว่าเธอนั้นเบียดไปถึงข้างหน้าสุดนั่นแล้ว
เธอมองดูทุกอย่างด้วยรอยยิ้มอันสดใส ราวกับว่าอยากเข้าไปด้านในนั้น
เฉินเฟิงเดินไปยังข้างกายเธอแล้วบอกกับเธอ: “ตอนนี้ก็ได้ดูแล้ว พวกเรากลับกันได้แล้ว”
แต่หลี่จื่อเยว่กลับทำปากขมุบขมิบแล้วพูดกับเฉินเฟิงด้วยท่าทางออดอ้อน: “พวกเรารอดูอีกสักหน่อยนะ ดูอีกครู่หนึ่ง”
เฉินเฟิงรู้ตัวว่าเขาเหมือนจะไม่มีทางปฏิเสธได้อีก เขาจึงได้เพียงตอบตกลงเธอไปอีกครั้งเท่านั้น
ทันใดนั้นหลี่เยว่ก็มีความสุขอีกครั้ง
เธอเอนตัวเข้าหาเฉินเฟิง: “คุณดูสิพวกเขาเต้นรำได้สวยมากเลย กองไฟนั้นส่องสะท้อนเงาของพวกเขา ดูแล้วมันสง่ามากเลย”
ถึงแม้ว่าเฉินเฟิงจะรู้สึกว่ามันสวย แต่ก็ไม่ได้น่าหลงใหลเหมือนกับที่หลี่จื่อเยว่ได้พูดมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
จนผ่านไปสักพัก ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลี่จื่อเยว่จะไม่อาจสะกดความต้องการในใจของตัวเองได้อีกต่อไป เธอดึงแขนของเฉินเฟิงพร้อมกับบอกกับเขา : “พวกเราเข้าไปร่วมเต้นรำกันเถอะ จะต้องสนุกมากแน่ๆ ”
ดูเหมือนว่าเธอจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าตอนนี้พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ คนเหล่านั้นกำลังสวดภาวนาให้กับความรัก
เฉินเฟิงที่กำลังจะพูดอธิบายให้กับเธอ แต่หลี่จื่อเยว่กลับลากตัวเขาเข้าไปตรงใจกลางนั้นแล้ว
เมื่อหมดปัญญา เฉินเฟิงจึงไม่คิดที่จะอธิบายอะไรอีก
และหนุ่มสาวที่กำลังเต้นรำอยู่ตรงนั้นเมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงพวกเขาสองคนเดินเข้ามาก็ยิ้มรับพร้อมกับเว้นที่ว่างให้กับพวกเขาอีกด้วย ราวกับว่าได้แบ่งปันความสุขของตัวเองให้กับคนที่อยู่รอบข้าง
เมื่อมองดูท่วงทำนองอันสนุกสนานของผู้คนเหล่านั้น เฉินเฟิงก็ค่อยๆ เริ่มขยับตัวเต้นขึ้นมา ส่วนหลี่จื่อเยว่ดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ เธอเพียงมองดูแค่รอบเดียวก็สามารถเต้นตามได้อย่างชำนาญแล้ว