ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 850
แต่ทางด้านเฉินเฟิงเองที่เคยฝึกฝนการต่อสู้มาก็เริ่มทำความคุ้นชินได้อย่างรวดเร็ว
และเพียงไม่นานเขาก็สามารถเต้นตามจังหวะของคนอื่นๆ ได้แล้ว จนกลมกลืนเป็นนักเต้นคนหนึ่งในนั้น
ด้วยความใกล้ชิดที่ขยับเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้เฉินเฟิงสามารถรับรู้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวของหลี่จื่อเยว่ กระโปรงสีแดงของเธอเริงระบำอย่างพลิ้วไหว อีกทั้งเธอยังเขย่าแขนของเขาไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน
และมีอยู่ครู่หนึ่งที่ทำให้เฉินเฟิงเกิดความลุ่มหลงขึ้นมา
หลี่จื่อเยว่หลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่าเธอไม่สนใจเลยว่าเฉินเฟิงจะสัมผัสตัวเธออยู่ ทั้งยังไม่ใส่ใจอีกด้วยว่าตัวเองจะแนบชิดกับเฉินเฟิงอีกด้วย เธอเพียงดยกย้ายร่างกายไปตามเสียงดนตรีเท่านั้น
และเพียงเวลาไม่นาน ทุกอย่างก็เริ่มสงบลงอย่างช้าๆ เสียงดนตรีเองก็ค่อยๆ อ่อนโยน
หลี่จื่อเยว่แหงนหน้าขึ้นสามารถมองเห็นใบหน้าของเฉินเฟิง แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดทำให้เธอหลบหน้าไปไม่กล้าที่จะมอง
ทว่าเฉินเฟิงกลับไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด เขาเพียงแค่สงสัยว่าทำไมกลุ่มคนนี้ถึงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ากันเลย
ส่วนเรื่องที่เขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าเลยเป็นเพราะว่าร่างกายของเขามีความแข็งแรงกว่าคนทั่วไปนั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของหลี่จื่อเยว่จะเต็มไปด้วยความพละกำลัง ซึ่งทำให้เขายิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาดึงตัวหลี่จื่อเยว่เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง
โดยที่หลี่จื่อเยว่ไม่มีการต่อต้านใดเลยสักนิด เธอเพียงปล่อยให้เฉินเฟิงกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาอยู่อย่างนั้น
และสิ่งนี้ก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้น เพราะต่อให้เขาและหลี่จื่อเยว่จะมีความสนิทสนมกันมากขึ้นแล้ว แต่เขาไม่เชื่อว่าหลี่จื่อเยว่จะยินยอมให้เขาดึงเอาตัวเธอเข้ามากอดแบบนี้โดยไม่ต่อต้านใดๆ แน่นอน
เขาก้มลงมองหน้าเธออย่างละเอียด ตอนนี้สีหน้าของเธอนั้นแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับกำลังเมาเหล้า
ซึ่งเฉินเฟิงสามารถรับรู้ได้เลยว่านั่นไม่ได้เกิดจากแสงของกองไฟที่สาดส่องมากระทบแน่นอน และตอนนี้ร่างกายของเธอก็มีไอร้อนแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย และพอเฉินเฟิงหันไปดูคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็พบว่าพวกเขาก็เป็นเหมือนกัน แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้เลย
บางทีอาจจะมีบางอย่างในอากาศ เมื่อมีความคิดแบบนี้ เฉินเฟิงจึงคิดจะพาหลี่จื่อเยว่ออกไปจากตรงนี้
แต่เขากลับพบว่าร่างกายของตัวเองก็เริ่มมีไอความร้อนแผ่ออกมาเหมือนกัน และยิ่งในตอนที่เขามองดูหลี่จื่อเยว่ก็เกิดความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก และเพียงแค่ได้มองเธอแบบนี้เขาก็เหมือนจะไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
เฉินเฟิงรีบสะบัดหัวของตัวเองเพื่อที่จะทำให้ตัวเขาได้สติขึ้นมา
พวกเขาจะต้องถูกวางยาแน่นอน และในตอนที่เขากำลังสับสน เขาก็รับรู้ถึงมือคู่หนึ่งที่โอบรัดเขาเอาไว้ ซึ่งก็คือหลี่จื่อเยว่
เขาอยากที่จะดึงตัวเธอออกแล้วพาหลี่จื่อเยว่หนีออกไปจากที่นี่ซะ แต่เหมือนว่าเขาจะได้สูดกลิ่นหอมบนร่างของหลี่จื่อเยว่เข้าไป และกลิ่นนั้นก็ทำให้เฉินเฟิงไร้ความสามารถในการต่อต้านไปในทันที
จากนั้นมือทั้งสองของเขาก็โอบกอดร่างอันอ่อนนุ่มและบอบบางที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นอีกครั้ง
แล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เขาก็จำไม่ได้อีกเลย
ราวกับว่าได้สะดุ้งตื่นมาจากฝันร้าย เฉินเฟิงกระตุกร่างกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว พอมองดูรอบๆ กลับพบว่าพวกเขายังอยู่ในสถานที่เมื่อวานนี้ ส่วนหลี่จื่อเยว่ที่เอนตัวหลับอยู่ข้างๆ เขาก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่นี้ของเขา
และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา ถ้าหากว่ามีคนต้องการทำไม่ดีกับพวกเขา ถ้าอย่างนั้นเฉินเฟิงที่แม้อยากจะต่อต้านก็คงจะทำไม่ได้
ทางด้านหนุ่มสาวที่อยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ เริ่มตื่นขึ้นมาทีละคน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก พวกเขาลุกขึ้นยืนดูแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายออกไปจากที่นี่
ราวกับว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา
เฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมทั้งสังเกตร่างกายของตัวเองจนมั่นใจว่าไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ส่วนหลี่จื่อเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็ดูปกติที่ดีทุกอย่าง จึงทำให้เขาโล่งอกขึ้นมา
แต่ในใจจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ได้
เขาลากตัวหลี่จื่อเยว่กลับไปที่รถ เขานั่งลงตรงที่นั่งคนขับก่อนจะพยายามคิดถึงเรื่องที่เกิดเมื่อคืนนี้อย่างละเอียด เผื่อว่าบางทีเขาอาจจะรับรู้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดยังไงก็ไม่อาจนึกถึงส่วนไหนที่ดูน่าสงสัยได้เลย อีกทั้งความทรงจำส่วนมากของเขาก็ถูกความอบอุ่นในตอนที่ได้อยู่ร่วมกับหลี่จื่อเยว่บดบังไปจนหมด
และเขาก็นึกขึ้นได้เพียงใบหน้ายิ้มแย้มของหลี่จื่อเยว่ ไม่ก็นึกถึงกลิ่นอันหอมละมุนบนร่างกายของเธอรวมทั้งความใกล้ชิดอันแสนอ่อนโยนนั้น
เฉินเฟิงเตรียมจะหยุดคิดเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปก่อน เขาเหลียวหันไปมองดูหลี่จื่อเยว่ แต่คงเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ทำให้หลี่จื่อเยว่พยายามหลบสายตาของเฉินเฟิงอยู่ตลอดเวลา
เฉินฟิงเองก็รับรู้ถึงความน่าอึดอัดนี้ ดังนั้นเขาจึงล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองอยากจะถาม ก่อนจะขับรถออกไปจากตรงนั้นด้วยความเงียบอันน่าประหลาดนี้
แต่เมื่อขับรถไปได้เพียงไม่นาน เขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะจบลงง่ายดายขนาดนี้ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะกลับไปที่นั่นอีก เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แต่แล้วเมื่อตกกลางคืน เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน
ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับเมื่อคืนนี้ หลี่จื่อเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังก็เหมือนจะหลับไปแล้ว เธอนั่งพิงอยู่ตรงนั้น แต่กลับมีการขยับตัวเต้นรำอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าพื้นที่ในรถจะมีอยู่อย่างจำกัดแต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพยายามจะลุกขึ้นมาเต้นอีกต่างหาก
“เธอกำลังทำอะไรเนี่ย?” เฉินเฟิงถาม
หลี่จื่อเยว่ไม่มีการตอบสนองกลับใดๆ เพียงแต่ขยับตามท่วงท่าที่ตัวเองอยากทำเท่านั้น
“นี่!หลี่จื่อเยว่” เฉินเฟิงตะโกนใส่เธอ: “อย่ามาเล่นตลก เรื่องนี้มันไม่ตลกเลยนะ”
แต่นั่นยิ่งทำให้เห็นว่าหลี่จื่อเยว่ไม่ได้ยินสิ่งที่เฉินเฟิงพูดเลย
เฉินเฟิงรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างมาก เขารีบเลี้ยวรถเข้าข้างทางทันที ก่อนจะเดินลงไปเปิดประตูหลังเพื่อดูอาการของหลี่จื่อเยว่ แต่ในตอนที่เขาเข้าไปดูก็เห็นว่าตอนนี้เธอกำลังนอนอยู่บนเบาะรถ ร่างกายเกิดอาการชักกระตุกอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปากจนเปื้อนลงบนชุดกระโปรงสีแดงของเธอจนกลายเป็นจุดๆ
เมื่อเห็นอย่างนั้นเฉินเฟิงจึงเข้าใจได้เลยว่าหลี่จื่อเยว่ไม่ได้ล้อเล่นอีกแล้ว
เขาอุ้มเธอลงมาจากที่นั่งด้านหลังแล้ววางเธอลงบนพื้น โดยพยายามทำให้เธอหายใจอย่างสะดวกมากที่สุด พร้อมกับพยายามหยุดร่างกายที่กำลังชักกระตุกไม่หยุดของเธอ
เมื่อทำแบบนี้ร่างกายของเธอก็เริ่มหยุดกระตุก ผ่านไปสักพัก ร่างกายของหลี่จื่อเยว่ก็สงบลง การหายใจก็กลับมาราบรื่นมากขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้นเฉินเฟิงยังคงไม่ยอมปล่อยเธอ
เพียงไม่นานนักหลี่จื่อเยว่ก็เหมือนตื่นขึ้นมาจากฝันสักที เธอมองเห็นเฉินเฟิงที่กำลังอยู่ตรงหน้าของตัวเองอีกทั้งแขนทั้งสองข้างก็ถูกเขากดเอาไว้ จึงทำให้เธอคิดถึงเรื่องไม่ดีบางอย่างขึ้น ก่อนจะกรีดร้องออกมาเสียงดัง
“อ๊า!คุณจะทำอะไร” เมื่อพูดไปเธอก็พยายามที่จะหลุดจากการควบคุมของเฉินเฟิง
เฉินเฟิงมองดูเธอที่เหมือนว่าจะตื่นแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ปล่อยเธอ
“คุณทำอะไรกับหนู?” หลังจากที่เฉินเฟิงปล่อยหลี่จื่อเยว่ เธอก็โอบปกป้องตัวเองด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับมองเฉินเฟิงด้วยความตกใจ
เฉินเฟิงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แต่บนใบหน้าของเขายังคงความแข็งกระด้าง : “ฉันกำลังช่วยเธออยู่ เธอดูไม่ออกหรือไง ?”
“มีใครที่ช่วยคนแบบนี้เหมือนคุณกัน?” หลี่จื่อเยว่ยังกล่าวด้วยความข้องใจ
แต่เฉินเฟิงกลับไม่อยากจะถกเถียงกับเธอ เขากำลังครุ่นคิดว่าเรื่องที่เกิดกับหลี่จื่อเยว่ในตอนนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แน่นอน
เขาหันไปจ้องมองท่าทีของหลี่จื่อเยว่หวังจะสังเกตความผิดปกติบางอย่างในตัวเธอ
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาน่าแปลกแบบนี้หลี่จื่อเยว่จึงแย้งด้วยความขุ่นเคือง “ยังจะดูอีก คุณนี่มันคนนิสัยไม่ดีจริงๆ หนูไม่อยากสนใจคุณแล้ว”
เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้นแล้วกลับไปยังรถ
แต่เฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องแบบนี้ เขาเพียงกำลังพิจารณาว่าควรจะกลับไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้หายข้องใจก่อนดีกว่า
กระทั่งเขาลุกขึ้นยืนแล้วกลับไปในรถ
หลี่จื่อเยว่ก็นั่งกอดเข่าด้วยท่าทางน้อยใจอย่างมากอยู่ตรงเบาะหลังแล้ว