ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 854
ถึงแม้ความทรงจำของอีกฝ่ายจะเลือนราง แต่เฉินเฟิงก็ยังคงเดินทางมาแถวนี้ตามคำบอกเล่าของเธอ
ที่นี่มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งว่ากันว่าที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล เขายืนมองอยู่ริมริ้ว และในทุกระยะห่างจะมีกล้องวงจรปิดคอยสอดส่อง
และในตอนที่ยืนอยู่ริมรั้ว เฉินเฟิงก็ได้เห็นเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งจอดอยู่ตรงลานจอด ซึ่งเหมือนว่าทุกอย่างกำลังนิ่งสงบอย่างมาก ในขณะที่ข้างๆ นั้นยังมีรถหรูอีกหลายคันจอดอยู่เช่นกัน
บริเวณนี้เหมือนจะไม่มีคนอยู่ เฉินเฟิงจึงใช้เวลานานกว่าจะหาประตูทางเข้าของคฤหาสน์แห่งนี้ได้
และแน่นอนว่าเข้าไม่สามารถเดินเข้าไปด้านในได้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะทันทีที่เดินไปถึงประตูก็มี รปภ.คนหนึ่งเข้ามาขวางทางเขาเอาไว้ซะแล้ว
ตอนนี้เฉินเฟิงร้อนรนเรื่องความปลอดภัยของหลี่จื่อเยว่ ต่อให้จะถูกอีกฝ่ายขวางทางเอาไว้ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
“หยุด ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล”
เฉินเฟิงไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะเดินตรงไปยังเสาประตูอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะมีคนเข้ามาขวางเขาเอาไว้อีกครั้ง
รปภ.ดึงแขนของเขาแล้วพูดว่า: “คุณเป็นใคร ถึงได้กล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่ ”
เฉินเฟิงขยับหลังสะบัดเขาออก ชายคนนั้นก็ถูกกระเด็นออกไปอีกทางทันที ตอนนี้เขาโมโหขึ้นมา พลางตะโกนร้องเรียกคนอื่น
เพียงครู่เดียวก็มี รปภ.อีกสามสี่คนเดินออกมาจากห้องรักษาความปลอดภัย โดยในมือถือกระบองเอาไว้อีกด้วย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หนึ่งในนั้นถามขึ้นมา
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า หมอนั่นเข้ามาก็สร้างเรื่องเลย”
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พากันหันมามองทางเฉินเฟิง
แต่ว่าตอนนี้เฉินเฟิงได้ก้าวเข้าไปด้านในเรียบร้อยแล้ว
“นี่ คุณหยุดเดี๋ยวนี้” คนเหล่านั้นตามเข้าไปหวังจะหยุดเฉินเฟิงเอาไว้
พวกเขาเปิดประตู ก่อนที่แต่ละคนจะไล่ตามเข้าไป
ในใจของเฉินเฟิงเอาแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลี่จื่อเยว่ ดังนั้นเมื่อเห็นบ้านที่ตั้งอยู่ไม่ไกลเขาจึงรีบวิ่งตรงไปทางนั้นทันที ส่วน รปภ.ที่วิ่งตามเขามา ไม่ว่าจะไล่ตามยังไงก็วิ่งไม่ทันเขาสักที
และในที่สุดเมื่อมาถึงประตูใหญ่ของบ้านแห่งนั้น เฉินเฟิงก็ชะงักฝีเท้าพลางมองดูบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นราวกับพระราชวังอันงดงามแห่งหนึ่งเลย เพราะเพียงแค่การตกแต่งภายนอกก็มีความแตกต่างจากบ้านของคนธรรมดาทั่วไปแล้ว
และในที่สุดคนเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลังก็ตามมาถึงสักที ในขณะที่เฉินเฟิงกำลังจะเข้าไปด้านใน ประตูไม้อันโอฬารนั้นก็ถูกเปิดออกมาก่อน
ชายสวมชุดสีเทาคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน สีหน้าของเขานิ่งเรียบ สะอาดสะอ้าน
ซึ่งสามารถมองออกได้เลยว่าเขาเป็นคนที่เคยได้รับการฝึกฝนวิชาต่อสู้อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นอย่างนั้นเฉินเฟิงเองก็หยุดฝีเท้าลง พร้อมกับมองไปยังอีกฝ่าย ซึ่งเขาคนนั้นก็กำลังจ้องมองมายังเฉินเฟิงพอดี
“คุณจะวิ่งอะไรนักหนา?ช่างวิ่งจริงๆ !”
รปภ.ไม่กี่คนที่อยู่ด้านหลังนั้นเมื่อพวกเขาวิ่งมาถึง เฉินเฟิงก็กลับคร้านที่จะไปสนใจพวกเขา พลางเดินก้าวไปยังบันไดที่อยู่ข้างหน้า ก่อนที่เขาจะปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าเฉินเฟิงจะต้องลงมือแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตั้งรับเอาไว้ได้ทัน
ซึ่งในช่วงพริบตาเดียวพวกเขาทั้งสองคนก็ต่อสู้กันจนเกิดสิบกระบวนท่าไปแล้ว และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเหมือนกัน อย่างน้อยหากจัดอันดับในระดับชั้นของหั้วจิ้งแล้วเขาคงนับว่าเป็นหั้วจิ้งชั้นสูงสุดได้เลย
แต่หลังจากที่ต่อสู้กันได้อีกสองสามกระบวนท่า เฉินเฟิงถึงได้รู้สึกว่ากระบวนท่าของอีกฝ่ายนั้นร้ายกาจอย่างมาก ไม่เหมือนกับวิชาต่อสู้ทั่วๆ ไป
แม้แต่การเคลื่อนไหวก็ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย และในทุกกระบวนท่าที่ถูกปล่อยออกมาล้วนใช้เทคนิคการต่อสู้แบบกะใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต ซึ่งหากจะยับยั้งกระบวนท่าเหล่านี้คงจะยากไม่น้อย
อย่างไรก็ตามหลังจากพักหายใจไม่กี่อึดใจ ทั้งสองก็ถอยหลังแยกกันออกมา และอยู่ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่มายืนอยู่หน้าประตูใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สั่งห้ามอีกฝ่ายเอาไว้
เฉินเฟิงเองก็หันไปมองอีกฝ่าย เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวน สวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผย โดยในมือถือมีดสั้นเล่มหนึ่งเอาไว้
ซึ่งในตอนที่เฉินเฟิงมองเธอนั้น เธอเองก็มองมายังเฉินเฟิงด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ เหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนสนิทสนมกันเสียอย่างนั้น
แต่ความจริงแล้วเฉินเฟิงไม่รู้จักเธอเลยสักนิด
“วิชาต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมาก ไม่ถึงร้อยกระบวนท่าคุณต้องแพ้แน่นอน ”
หญิงสาวพูดประโยคนี้ให้กับชายที่สวมชุดรัดกุม (ชุดจิ้นจวง) คนนั้น แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่เห็นด้วย พลางมองมายังเฉินเฟิงด้วยความเย็นชาเท่านั้น
แต่หญิงสาวกลับไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะหันไปพูดกับเฉินเฟิง: “ไม่ทราบว่าทำไมคุณชายท่านนี้ถึงมายังหอจิ่วโหยวของพวกเราได้คะ ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ได้เชื้อเชิญคุณชายนะคะ ”
เฉินเฟิงไม่อยากจะไปสนใจว่าที่นี่คือที่ไหน จะเป็นหอจิ่วโหยวหรือตึกปาเป่าก็ช่าง เขามาที่นี่ก็เพื่อช่วยคนเท่านั้น
“ส่งคนออกมาเดี๋ยวนี้ หรือจะให้ผมเข้าไปหาเอง ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้น ชายสวมชุดรัดกุม (ชุดจิ้นจวง) คนนั้นก็ตอกกลับด้วยความเดือดดาลทันที : “ถ้าหากว่าคุณอยากจะต่อสู้ ผมจะเป็นคู่มือให้ ”
แต่หญิงสาวกลับกล่าวห้ามเอาไว้เสียก่อน: “หลินเฉิงจื้อ แกอยากลิ้มรสกฎสำนักงั้นหรอ?”
และเหมือนว่าพอได้ยินคำว่ากฎสำนักสองคำนี้ หลินเฉิงจื้อถึงยอมถอยหลังออกไปด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นหญิงสาวคนนั้นถึงค่อยหันมาพูดด้วยรอยยิ้มกับเฉินเฟิงอีกครั้ง : “ ถ้าหากคุณมาที่นี่เพื่อตามหาคน อย่างนั้นก็ตกลงกันได้ง่ายหน่อย เพียงแต่ว่าการเข้ามาก่อเรื่องแบบนี้ของคุณมันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยนะคะ คุณจะเข้าไปนั่งด้านในก่อนหรือเปล่าคะ ฉันจะช่วยไปถามให้กับคุณ ”
ที่จริงเฉินเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า แต่ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว อย่างน้อยๆ เขาจะต้องถามให้ได้เรื่องบางอย่างก่อนที่จะออกไปจากที่นี่
จากนั้นเขาจึงเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านในของอาคารหรูหรางดงามแห่งนี้
ภายในนั้นเป็นห้องรับแขกขนาดใหญ่ บนพื้นปูด้วยพรม ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากไม้เรดวูดทั้งหมด พร้อมทั้งภาชนะประดับคริสตัลราคามหาศาล ซึ่งต้องเป็นคนที่ร่ำรวยมากจริงๆ ถึงจะมีของพวกนี้ไว้ในครอบครองได้
แต่สำหรับเฉินเฟิงแล้วของเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงแค่ของตายเท่านั้น เพราะอะไรก็ตามที่สามารถซื้อมาได้ด้วยเงินก็ล้วนเป็นของตายทั้งนั้น
หญิงสาวพาเขาเดินมาถึงตรงหน้าเก้าอี้ไม้เรดวูด เฉินเฟิงนั่งลงอย่างใจใหญ่ ก่อนที่เขาจะหันไปถามหญิงสาว : “งานรอบกองไฟที่นอกเมืองนั้นเป็นฝีมือพวกคุณหรือเปล่า ?”
และเหมือนเป็นเพราะว่าได้ยินเรื่องของงานรอบไฟ หญิงสาวถึงเข้าใจได้ทันที
“ที่แท้คุณก็มาที่นี่เพราะเรื่องนี้นี่เอง แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงที่คุณกำลังตามหาหรอกนะคะ ”
เมื่อเฉินเฟิงได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าผู้หญิง เขาก็คาดเดาได้ทันทีเลยว่าตอนนี้หลี่จื่อเยว่อยู่ในกำมือของพวกเขาจริงๆ
ก่อนจะซักถามอีกครั้ง: “ผมไม่สนหรอกนะว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่รีบส่งคนของผมมาเดี๋ยวนี้ ”
แต่หญิงสาวกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “นั่นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ พวกเราไม่กล้าไปมีปัญหากับหั้วจิ้งชั้นสูงสุดหรอกนะคะ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นก็จะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น ”
ถึงเฉินเฟิงจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นความจริงหรือเท็จ แต่ว่าตอนนี้เขาทำได้เพียงต้องเชื่อเท่านั้น ก่อนจะกล่าวต่อ: “เธอถูกพวกคุณเอาตัวไปเมื่อคืนนี้”
หญิงสาวยังคงตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ ดังเดิม: “ถ้าอย่างนั้นคุณรอสักครู่นะคะ ฉันจะเข้าไปดูให้คุณก่อน ถ้าหากว่ามาถึงที่นี่แล้ว ฉันจะพาตัวเธอออกมาให้คุณทันที แต่หากลองคำนวณเวลาดูแล้วบางทีอาจจะยังมาไม่ถึง ซึ่งนั่นแสดงว่าคุณจะต้องรอจนถึงช่วงเย็นถึงจะได้เจอนะคะ ”
แน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่ยินยอมที่จะถูกพวกเขาถ่วงเวลา จึงรีบถามกลับทันที: “ถ้าหากเธอยังมาไม่ถึงที่นี่ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่แน่ใจ: “เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ยังไงซะก็เป็นเรื่องที่อีกไม่นานก็จะต้องเกิดขึ้น แต่คุณวางใจได้ คนพวกนั้นไม่มีทางแตะต้องของของพวกเราอยู่แล้ว ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนที่ดีลี่จื่อเยว่เป็นสินค้าชิ้นหนึ่งอย่างนั้น ในใจของเฉินเฟิงก็โกรธเคืองขึ้นมา แต่เขาก็พยายามทำให้ตัวเองอดทนเอาไว้จนได้
ก่อนที่เขาจะพูดต่อ: “หวังว่าคุณจะไม่โกหกผม”
หญิงสาวยิ้มให้กับเฉินเฟิงก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ตอนนี้ก็เหลือหลินเฉิงจื้อที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเท่านั้น และเพียงไม่นานก็มีสาวใช้นำน้ำและชาเข้ามาเสิร์ฟ เมื่อมองดูไอร้อนที่อบอวลออกมา พร้อมกับถ้วยชาที่มีใบชาอยู่ด้านใน เขาก็ไม่แม้แต่ที่จะแตะต้องมันเลย เขาระมัดระวังตัวอย่างมาก เพราะสำหรับความเจ้าเล่ห์เพทุบายของคนกลุ่มนี้แล้ว เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อนั่งอยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่ เขาก็ยังไม่เห็นว่าหญิงสาวจะกลับมาสักที เฉินเฟิงจึงคิดอยากจะเดินออกไปดูข้างนอก แต่ว่ากลับถูกหลินเฉิงจื้อห้ามเอาไว้
“ไม่มีคำอนุญาตของเธอ คุณจะออกไปไหนไม่ได้เด็ดขาด ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
และแน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กับอีกฝ่าย: “แล้วถ้าหากว่า ฉันจะออกไปให้ได้ล่ะ?”
และทันทีที่เขาพูดจบ สายตาของหลินเฉิงจื้อก็บอกกับเฉินเฟิงว่าเขาเองก็รอไม่ไหวที่จะต่อสู้กับเขาแล้ว