ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 869
เชียนหนิงเดินเข้าไปข้างหน้าก้าวเดียว ส่วนหญิงสาวกลับตะโกนว่า “คุณอย่าเข้ามานะ”
ตัวเธอก็รีบเดินถอยหลังไปไม่เพียงแค่ก้าวเดียว
เชียนหนิงจึงต้องหยุดลง แล้วเขาก็ถามว่า “ถ้าคุณไปกับฉัน ทุกอย่างก็จะอิสระแล้ว หรือว่าคุณไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเหรอ? ไปอยู่ที่ที่ไม่มีคนจะทำให้คุณร้องไห้ได้อีก ไปที่ที่คุณคิดอยากจะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากจะทำ”
ใบหน้าที่บอปบางของหญิงสาวก็สั่นระรัว แผ่วเบามาก แต่ก็ดูออกว่าในใจเธอกำลังว้าวุ่น
ดวงตาคู่นั้นสวยงามมาก ขนตางอนยาวนั้นกำลังกะพริบอย่างแผ่วเบา น้ำตาที่รินไหลออกมาทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าเริ่มหลุดลอกออกมา
แต่ว่าสวยงามเช่นนี้ กลับแลดูหดหู่เศร้าหมอง ไม่รู้เป็นเพราะเชียนหนิงที่อยู่ตรงหน้า หรือว่าเพราะอะไรกันแน่
“คุณไปเถอะ พวกเราจะอยู่กันด้วยดี คุณเชื่อฉันเถอะ” เธอดูเหมือนไม่ค่อยหวาดกลัวเช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่ตกใจจนต้องถอยหลังออกไปไกล
“ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันรู้แต่ว่าคุณไม่เคยมีความสุขเลย ถ้าคุณยังเป็นอย่างนี้อีกต่อไป คุณก็จะไม่มีวันที่จะมีความสุขตลอดไป”
แต่เชียนหนิงก็เป็นคนที่ดื้อรั้นเหมือนกัน เขาพูดอย่างยืนหยัด
เขาพูดพลาง ก็เดินก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ว่าหญิงสาวยังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเดิม
“หรือว่าคุณไปรู้อะไรมาเหรอ?” หญิงสาวถาม
เชียนหนิงพูด “อึม ฉันก็รู้มาตั้งนานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ในความทรงจำของฉันความหลังที่เลือนรางพวกนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาได้หมดแล้ว ฉันเกลียดตัวเองมากเลยที่ถึงกับลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปได้”
“คุณไม่ควรจะนึกมันขึ้นมาได้อีก เพราะว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย คุณเกิดในบ้านตระกูลเชียน เติบโตอยู่ในบ้านตระกูลเชียน ตระกูลเชียนถึงจะเป็นเสาหลักให้คุณได้ ฉันไม่ใช่ ฉันเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น คนธรรมดาที่ไม่รู้ว่าจะธรรมดายังไงอีกแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับคุณด้วย คุณควรจะปล่อยฉันไปนะ”
หญิงสาวควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ พูดคำพูดที่เธอรู้สึกมีสติยั้งคิดที่ดี เพราะว่าเธอรู้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเชียนหนิงแล้ว สำหรับตัวเธอเองก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน
แต่ว่าเชียนหนิงตะโกนร้องว่า “ทำไมคุณจะต้องเลือกทางเดินให้ฉันด้วย นั่นมันเป็นทางเดินชีวิตของฉันเอง ฉันสามารถเลือกเองได้”
เขาแทบจะอยากบุกเข้าไปกอดหญิงสาวไว้ แต่ก็กลัวว่าหญิงสาวจะตกใจตื่นกลัว
อารมณ์ความรู้สึกของหญิงสาวกำลังพังทลาย เธอพูดว่า “เป็นเพราะว่าฉันรักคุณ ฉันไม่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ในความทุกข์ยาก…….”
“ไม่ ฉันไม่ต้องการ ถ้าหากให้ฉันทิ้งคุณไปเพื่อไปเลือกชีวิตที่แสนสุขสบายเช่นนี้ ฉันยอมที่จะไม่เอาอะไรเลยดีกว่า”
เชียนหนิงพูดตัดตอนคำพูดของหญิงสาวคนนั้น
“ทำไมคุณถึงต้องทำอย่างนี้…….”
หญิงสาวยกชายกระโปรงที่โป่งพองขึ้นแล้วนั่งลงไป ดูเหมือนเธอกำลังร้องไห้อยู่ แต่ก็ไม่อยากให้เชียนหนิงได้เห็นขณะที่ตัวเองกำลังร้องไห้ จึงทำท่าเช่นนี้เพื่อกลบเกลื่อนไว้
เมื่อเชียนหนิงได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมา เขาจึงไม่ได้สนใจท่าทีของหญิงสาว ได้แต่รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันจะต้องพาคุณออกไปให้ได้ รอให้งานเลี้ยงเลิกก่อน ฉันก็จะพาคุณหนีไป”
พูดจบ เขาก็หันหลังจากไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ข้างหลัง
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็ไม่เห็นเงาร่างของเชียนหนิงแล้ว แต่ว่าดวงตาที่เพิ่งจะบรรจงแต่งอย่างงดงามคู่นั้นกลับเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมดแล้ว
เด็กสาวทั้งสองคนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าต้องการเข้ามาแต่งเติมรายละเอียดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เลอะเทอะเช่นนั้น ทั้งสองคนก็ตกใจพูดว่า “คุณหนู ท่านไปทำอะไรมา หน้าเลอะหมดแล้ว”
หญิงสาวลุกขึ้นยืน รวบรวมสติอารมณ์ เคยใช้ชีวิตที่นี่มาหลายปีทำให้เธอรู้จัดเก็บความรู้สึกไว้ได้อย่างง่ายดาย เวลาที่พูดกับพวกเธอ ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “เพียงแต่รู้สึกดีใจเกินไปหน่อยจนน้ำตาไหลออกมา”
“ใช่สิคะ เจ้าบ่าวของคุณหนูเป็นถึงคุณชายของตระกูลอู๋ ไม่เพียงแต่รูปหล่อเท่สมาร์ต อีกทั้งยังมีเสน่ห์และยังมีความสามารถอีกมากมาย……..”
หญิงสาวก็ไม่ได้ฟังคำพูดยกยอของพวกเธอทั้งสองคนอีกต่อไป เธอกำลังคิดถึงเชียนหนิง
เธอไม่รู้ว่าเชียนหนิงจะทำอย่างไร แต่เธอรู้ว่าเชียนหนิงจะต้องมาพาเธอหนีไปจากที่นี่แน่ เธอคิดจะหาทางขัดขวางไว้
ในไม่ช้างานเลี้ยงกลางคืนก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว คู่บ่าวสาวทั้งสองฝ่ายก็ต้องออกมาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงาน
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยตรงมุมปาก อ่อนโยนน่าทะนุถนอม ควงแขนของเจ้าบ่าวเบาๆ เดิมตามจังหวะย่างก้าวของเจ้าบ่าวออกมา
เฉินเฟิงยืนอยู่มุมหนึ่งกำลังสังเกตดูนางเอกเพียงคนเดียวในงานเลี้ยงคืนนี้ อีกทั้งยังเป็นตัวเอกในนิยายสองเรื่องที่แตกต่างกันอีกด้วย
ช่างสวยงามจริงๆ ดวงตาก็สวยงามมาก ผู้คนมักพูดว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่ว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่นั้น ก็ย่อมเห็นได้จากดวงตาคู่นั้นบ้าง
ผู้คนที่อยู่ในงานเลี้ยงส่วนใหญ่จะคิดว่าที่นั่นเต็มไปด้วยความสุขสำราญ แต่ว่าเฉินเฟิงมองเห็นความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวแล้ว
“เป็นยังไงบ้างล่ะ เธอเห็นด้วยหรือเปล่า?”
เชียนหนิงเข้าใกล้ตรงหน้าเฉินเฟิง เฉินเฟิงจึงรีบถามขึ้น
“เธอยังไม่ได้ตอบตกลง ยังไงก็แล้วแต่ฉันก็ต้องพาเธอหนีไปให้ได้” คำพูดของเชียนหนิงยังคงยืนหยัดเช่นนั้น
เฉินเฟิงตกตะลึง แต่ก็ตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างเร็ว เขาพูดด้วยเสียงต่ำว่า “แกจะบ้าเหรอ ฉันบอกแกแล้วไง ถ้าเธอไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ก็ไม่สามารถจะทำต่อไปอีกเด็ดขาด”
แต่ว่ารู้สึกเชียนหนิงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น “ต่อให้แกไม่ยอมช่วย ฉันก็จะทำต่อไป ฉันบอกกับเธอแล้ว ฉันจะต้องพาเธอหนีไปให้ได้”
เฉินเฟิงรู้สึกปวดหัวมาก อาจจะตั้งแต่แรกเขาก็ไม่ควรเลือกที่จะช่วยเหลือเขาแล้ว เครื่องดื่มในมือก็รู้สึกไร้รสชาติไปหมด ดูเหมือนว่าก็คงต้องรอดูไปทีละก้าวแล้วค่อยว่ากัน
หนุ่มสาวคู่นี้ค่อยๆเดินเข้ามา เป็นที่สะดุดตาที่สุดในงานนี้ อีกทั้งพวกเขาก็เป็นจุดเด่นที่สายตาของทุกคนในงานเลี้ยงต่างก็จ้องจับตามองอีกด้วย
เมื่อเดินมาถึงเวที พิธีกรกำลังดำเนินรายการงานเลี้ยงคืนนี้ ดูไปแล้วทุกอย่างก็น่าจะราบรื่นดี ทุกคนต่างก็สุขสันต์หรรษากันไปทั่วหน้า
เด็กๆต่างก็ส่งเสียงร้องด้วยความยินดี พวกผู้ใหญ่ต่างก็นั่งคุยกัน พวกผู้หญิงก็นินทาเรื่องชาวบ้าน หรือไม่ก็คุยเรื่องแฟชั่น พวกผู้ชายต่างก็คุยเรื่องธุรกิจหรือไม่ก็เรื่องผู้หญิง บางครั้งก็คุยทักทายคู่บ่าวสาว เพื่อพูดคำอวยพรให้พวกเขา
ดูไปแล้วพวกเขาสองคนก็เหมาะสมกันดี ก็เป็นอย่างที่เชียนสวนยี่พูดไว้ ชายเก่งหญิงงาม สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
กาลเวลามักจะยุติธรรมกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสุขสำราญ หรือว่าความเจ็บปวดที่ต้องอดทน หรือว่าจะเป็นความทุกข์ระทมที่ถูกบีบบังคับก็ตาม งานเลี้ยงคืนนี้ก็ใกล้จะจบสิ้นลงแล้ว
เฉินเฟิงเดินไปใกล้ตัวเชียนหนิง “เวลางานเลิกจะวุ่นวายมาก ถ้าเธอยอมตกลง ก็พาเธอเข้าไปอยู่ในรถเข็นกับข้าว ฉันจะช่วยแกสร้างเรื่องให้มันวุ่นวายขึ้น ส่วนจะพาเธอหนีออกไปได้หรือไม่นั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวแกเองแล้วแหละ”
เฉินเฟิงพูดจบ ก็ไม่สนใจเชียนหนิงอีก สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ เรื่องราวนอกเหนือจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเชียนหนิงแล้ว
หลี่ชื่อจือดูเหมือนว่าจะจับตาดูเฉินเฟิงอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่เฉินเฟิงใกล้ชิดกับเชียนหนิง เขาก็ยังจ้องมองอย่างไม่ละสายตา
แต่ว่าเมื่อเฉินเฟิงเดินเข้ามาใกล้ตัวเขานั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจ
ในมือก็ยังจับไม้เท้าวางไว้อยู่ที่นั่น เขาก็กำลังรอคอยเฉินเฟิงเดินเข้ามา
“คุณท่านครับ ผมรู้สึกว่าระหว่างพวกเราสองคนมีเรื่องที่ต้องสะสางกันแล้วล่ะ” เฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่ชื่อจือกลับฉงนตกใจ เขาถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่จริงก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ฉันรู้สึกว่าคุณคงไม่ยอมปล่อยฉันไปแน่ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมก็คงจะต้องจัดการคุณก่อนจะดีกว่า เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องคอยหวาดผวาอยู่ทุกวัน”
หลี่ชื่อจือถึงแม้ว่าจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ยังคงสงบเยือกเย็น พูดว่า “ที่นี่มันบ้านตระกูลเชียนเชียวนะ คุณกล้าจะลงมือกับฉันที่นี่เลยเหรอ?”