ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 876
น้ำเสียงที่เย็นชานั้นดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “หรือว่าพวกเรายังต้องคอยดูแลเขาไปตลอดชีวิต เหรอ คนอย่างเขา ถึงแม้วันนี้ยังไม่เกิดเรื่อง วันหลังเขาก็คงไม่ตายดีอย่างแน่นอน”
เฉินเฟิงได้ยินแล้วก็แปลกใจมาก นี่มันเหมือนกับเป็นการสาปแช่งตัวเขาเลย
เฟิ่งซีพูดว่า “งั้นถ้าพี่ไม่อยากให้เขาอยู่ที่นี้ต่อไป พี่ก็ไปไล่เขาเองแล้วกัน ฉันไม่ไปแล้วนะ”
“ฉันต้องไปแน่ อึม เขาคงตื่นแล้วใช่ไหม? เมื่อกี้ก็พูดคุยกับแกมาแล้วสิ” หญิงสาวคนนั้นทายถูกว่าเฉินเฟิงตื่นขึ้นมาแล้ว
ส่วนเฉินเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะหลบต่อไปอีก จึงจงใจเดินด้วยฝีเท้าที่เสียงดังขึ้น เดินไปยังห้องของพี่น้องสองสาว แต่เมื่อหันกลับไปมองพวกเธอแล้ว เฉินเฟิงถึงกับอึ้งไปเลย
นั่นเป็นฝาแฝดคู่หนึ่งที่กำลังนั่งบดยาสมุนไพรอยู่ด้วยกัน หากแค่มองหน้าสองคนนี้ แม้แต่เฉินเฟิงก็ยังแยกแยะไม่ออกเลย แต่ว่าเพียงแค่ชั่วครู่ เขาก็เดาออกแล้วว่าคนไหนเป็นพี่สาวคนไหนเป็นน้องสาว
คนนั้นที่สีหน้าดูเหมือนเต็มไปด้วยความหวัง สายตาขี้เล่นเล็กน้อยต้องเป็นเฟิ่งซีแน่นอน ส่วนสำหรับอีกคนหนึ่งที่หน้าตาเย็นชา อีกทั้งยังมองด้วยสายตาที่ดุดันเล็กน้อยคนนั้นน่าจะเป็นพี่สาวของเฟิ่งซี
“เออ คือว่าฉันอยู่ในห้องคนเดียวรู้สึกเซ็งๆ ก็เลยออกมาเดินเล่น?” เฉินเฟิงก็พูดอธิบายด้วยสีหน้าเคอะเขิน
แต่ว่าหญิงสาวที่สีหน้าเย็นชากลับพูดเสียงเข้มว่า “คุณมายืนแอบฟังอยู่ตรงนั้นเหรอ?”
เฉินเฟิงนึกไม่ถึงว่าจะถูกจับได้ ท่าทียิ่งดูแปลกประหลาดมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่า “ไม่ใช่! แค่ได้ยินตอนเข้ามาใกล้เพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง”
เฉินเฟิงถูกพี่สาวจ้องหน้าอยู่ สีหน้าเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนเลย ส่วนพี่สาวจับพิรุธไม่ได้จึงเลิกรากันไป
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว ในเมื่อคุณมาแล้ว งั้นฉันก็ขอพูดกับคุณตรงๆเลย” แต่ว่ากำลังพูดอยู่นั้น เธอก็หยุดชะงักชั่วคราว ดูเหมือนว่าจะเห็นเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดในตัวของเฉินเฟิงที่ใส่มา แต่ว่าเพียงแค่มองแป๊บเดียวก็ไม่ว่าอะไร จากนั้นก็พูดต่อไปว่า
“บาดแผลในร่างกายของคุณก็ดีขึ้นแล้ว สารพิษที่ตกค้างก็ถูกขับออกไปเรียบร้อยแล้ว คุณก็ควรจะไปได้แล้ว”
พูดกันตรงๆเช่นนี้ ไม่มีความเกรงใจแม้แต่นิดเดียว
เฉินเฟิงมองดูพี่สาว แล้วย้อนกลับไปมองน้องสาวอีกที ดูเหมือนว่าเฟิ่งซีก็จนปัญญา สายตาเธอบอกกับเฉินเฟิงว่า เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
เฉินเฟิงพูดว่า “ฉันก็ย่อมไม่สะดวกที่จะรบกวนต่อไปอีกเป็นธรรมดา แต่นี่ก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตแล้ว ฉันเป็นคนที่ไม่เคยลืมบุญคุณคนอื่น ขอให้คุณหนูให้โอกาสฉันได้ตอบแทนบ้างเล็กน้อย ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันก็คงไม่สบายใจ”
แต่ว่าพี่สาวก็ยังคงปฏิเสธตรงๆว่า “คุณไม่ต้องมาตอบแทนพวกเราหรอก พวกเราก็ไม่เคยคิดหวังที่จะให้คุณมาตอบแทน คุณก็จากไปได้เลย ต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
ไร้เยื่อใยขนาดนี้แล้ว เฉินเฟิงยังจะพูดอะไรได้อีก เหลือบมองไปยังเฟิ่งซี แล้วหันไปพูดกับพี่สาวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็ขอลาแล้วกัน สำหรับบุญคุณของทั้งสองท่านที่ได้ช่วยชีวิตไว้ หากมีโอกาส พวกคุณสามารถไปหาฉันได้ที่ยันเจียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ฉันก็จะตอบแทนอย่างเต็มที่”
เขากำลังจะหันหลังเดินจากไป แต่ว่าพี่สาวพูดขึ้นกะทันหันว่า “รอเดี๋ยว!”
เฉินเฟิงหันหลังกลับไปมองอย่างสงสัย พี่สาวดูเหมือนกำลังมองสำรวจตัวเขาอย่างละเอียด แล้วพูดว่า “คุณคือเฉินเฟิงเหรอ?”
เฉินเฟิงคิดว่าเธอก็คงเหมือนเฟิ่งซีเช่นนั้น รู้สึกตกใจช็อกเรื่องที่เขาถูกสำนักเทียนซานตามไล่ฆ่า กำลังคิดจะพยักหน้า แต่ว่าพี่สาวกลับพูดว่า “หลินชีงตี้ คุณรู้จักใช่ไหม?”
เฉินเฟิงหยุดชะงัก หลินชีงตี้เขาย่อมต้องรู้จักดี อีกทั้งคนที่รู้จักเขาก็ต้องมีอีกมากมาย เพราะเขาเป็นถึงปรมาจารย์ท่านหนึ่งเลยทีเดียว
เฉินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เคยคบหาอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงรู้จักกันธรรมดาเท่านั้นเอง”
“งั้นลูกสาวของเขา หลินหวั่นชีวคุณรู้จักด้วยรึเปล่า?”
เฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น จึงพูดว่า “รู้จักสิ อีกทั้งยังคุ้นเคยกันดีด้วย”
“คุณก็รู้จักน้องหวั่นชีวด้วยเหรอ?” คราวนี้ถึงตาเฟิ่งซีเซอร์ไพรส์บ้างแล้ว
“รู้จักกันจริงๆ หากพูดไปแล้วระหว่างพวกเรา ก็ยังเป็นความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวบ้างเล็กน้อย เพียงแต่ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านทำไมถึงรู้จักกับหวั่นชีวด้วยล่ะ หรือว่ามีเรื่องอะไรจะหาเธอหรือเปล่า? ถ้าหากเป็นเช่นนั้นละก็ รอให้ฉันกลับไปยันเจียงก่อน แล้วฉันจะเล่าเรื่องให้หวั่นชีวฟังทั้งหมด”
แต่นึกไม่ถึงพี่สาวจะพูดเยาะเย้ยว่า “สภาพคุณตอนนี้ คุณยังสามารถกลับไปยันเจียงอีกเหรอ?”
เฉินเฟิงรู้สึกเคอะเขิน ถ้าหากปรมาจารย์ทั้งสองท่านของสำนักเทียนซานยังมีชีวิตอยู่ละก็ เขาแทบจะไม่มีทางที่จะกลับไปยันเจียงได้อีกเลย
“มันต้องมีสักวัน ที่จะต้องกลับไปจนได้ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้นเอง” เฉินเฟิงพูดอย่างจริงจัง
สีหน้าของพี่สาวก็เริ่มเป็นมิตรขึ้น เฉินเฟิงรู้สึกดูเหมือนว่าสายตาที่เธอมองตัวเองก็ไม่เย็นชาเหมือนตอนแรก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือไม่
พี่สาวก็เริ่มใช้ที่บดยามาบดสมุนไพรพวกนั้น ปากก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า “หากพูดตามหลักการแล้ว ในเมื่อคุณก็หายดีแล้ว คุณก็ไม่สมควรที่จะอยู่ต่อไปอีก แต่ว่าพวกเราสนิทสนมกับน้องหวั่นชีว ดังนั้นถ้าหากคุณยังอยากจะอยู่รักษาต่อไปแล้วละก็ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้หรอกนะ”
เฉินเฟิงก็นึกไม่ถึงว่ายังมีโอกาสที่จะหวนกลับคืนมาได้อีก แม้แต่เฟิ่งซีเองก็ยังแสดงท่าทางดีใจออกมาเหมือนกัน
“แน่นอนฉันก็ย่อมอยากจะอยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้นก่อนแล้วจึงจะจากไป” เฉินเฟิงรีบพูด
แต่พี่สาวก็พูดต่อไปอีกว่า “ในเมื่อคุณคิดจะอยู่ต่อไป งั้นคุณก็ต้องยึดถือปฏิบัติตามกฎกติกามารยาทที่นี่ด้วย”
เฉินเฟิงไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไร ก็พยักหน้าตกลงไป
“ทุกวันต้องตามพวกเราขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร กลับมาแล้วก็ต้องเอายาไปตาก ยังต้องบดยาด้วย เรื่องพวกนี้คุณจะต้องเป็นคนทำ”
แต่ยังไม่ทันรอให้เฉินเฟิงตกลงเลย เฟิ่งซีก็พูดอย่างปกป้องว่า “พี่ ร่างกายของเขายังไม่ดีขึ้นเลย? พี่จะให้เขาไปทำงานพวกนี้เลยเหรอ?”
เฉินเฟิงกลับพูดว่า “ไม่เป็นไร บาดแผลฉันเกือบจะไม่มีปัญหาแล้ว”
แต่เพิ่งจะพูดจบ เฟิ่งซีก็ทำตาค้อนใส่
เฉินเฟิงก็ได้แต่ทำเป็นมองไม่เห็น ยังดีที่พี่สาวหันหน้าไปมองเฟิ่งซี จึงทำให้เธอต้องรีบแกล้งทำท่าทางบดยาอย่างตั้งอกตั้งใจ
“จิตใจแกเกิดหวั่นไหวขึ้นมาแล้วเหรอไง? ทำไมไปช่วยพูดเข้าข้างเขา ที่สำคัญคือเขายังไม่ยอมรับความหวังดีอีกต่างหาก”
เฟิ่งซีรีบพูดเถียงย้อนว่า “พี่พูดบ้าบออะไร ถ้าพี่ยังขืนพูดอย่างงี้อีก ฉันจะไม่สนใจพี่อีกเลย”
พี่สาวไม่สนใจ เพียงแต่หันไปมองเฉินเฟิงต่อไป
“ในเมื่อคุณรู้สึกไม่มีปัญหาแล้ว งั้นก็พักอยู่ที่นี่ชั่วคราวไปก่อน อีกสองวัน หากคุณหายดีเรียบร้อยแล้วค่อยไปก็ได้”
เฉินเฟิงก็พยักหน้า
ด้วยเหตุนี้เฉินเฟิงจึงได้พักอยู่ที่ลานบ้านอันสงบเงียบแห่งนี้ เขาพักอยู่ห้องทางด้านตะวันตกของสวน ส่วนพี่น้องสองสาวพักอยู่ห้องทางด้านตะวันออก
ที่นี่ถึงแม้ว่าเงียบสงบก็ตาม แต่ห่างจากหมู่บ้านชุมชนก็ไม่ไกลมากนัก อีกทั้งถ้าเดินข้ามไปอีกนิดเดียว ก็ถึงตัวเมืองแล้ว
ปัญหาที่เฉินเฟิงไม่มีเสื้อผ้าใส่นั้น วันรุ่งขึ้นเฟิ่งซีก็ได้ไปตลาดซื้อมาให้เขาแล้วสองชุด
“เป็นยังไงบ้าง พอดีตัวเลยใช่ไหม?”
พอซื้อกลับมา เฟิ่งซีก็รีบที่จะให้เฉินเฟิงลองใส่ดูทันที เป็นเสื้อชุดแขนยาวธรรมดา มีลายการ์ตูนลูกหมูตัวเล็กๆน่าเกลียดน่าชังสีอ่อนๆปักอยู่ ทำให้เฉินเฟิงรู้สึกว่าเฟิ่งซีกำลังแอบด่าเขานั่นเอง
แต่ว่าเสื้อผ้าทั้งชุดก็ใส่พอดีตัวพอดี ราวกับว่าเฟิ่งซีได้วัดตัวเฉินเฟิงไปอย่างดีแล้ว
“ฉันขอเปลี่ยนชุดนึงได้มั๊ย เอาแบบที่เรียบง่ายกว่านี้หน่อย” เฉินเฟิงปรึกษากับเฟิ่งซี
แต่ว่าผลสุดท้ายก็ถูกเฟิ่งซีปฏิเสธไป เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าดูดีก็ใช้ได้แล้ว
ใส่ไปได้สองวัน เสื้อผ้าที่เฉินเฟิงไม่ค่อยถูกใจชุดนี้ก็มีเพียงแต่พี่น้องสองสาวตระกูลฉางที่ได้เห็นเท่านั้น เฉินเฟิงเองก็ไม่ติดใจอะไรอีกแล้ว