ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 877
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชีวิตความเป็นอยู่กลับเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายมากขึ้น ทุกวันก็ต้องช่วยพี่น้องสองสาวตระกูลฉางไปเก็บสมุนไพร หรือไม่ก็ช่วยทำงานที่ต้องใช้แรงงานให้กับพี่น้องสองสาวตระกูลฉาง
แทบจะรู้สึกเหมือนหวนกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของชิงจือเช่นนั้นเลย แต่ว่ากลับมีพี่น้องสองสาวฝาแฝดแสนสวยอยู่เป็นเพื่อน ก็จึงไม่รู้สึกเหงา
ในเวลาสองวันนี้ เฉินเฟิงก็ได้รู้จักชื่อของพี่สาวคนนั้น ฉางหลงหลิน คล้องจองกับน้องสาวเฟิ่งซีกลายเป็นมังกรหนึ่งหงส์หนึ่ง คาดเดาว่าพ่อของพวกเธอคงอยากได้ลูกชายหนึ่งคนลูกสาวหนึ่งคน แต่ว่านึกไม่ถึงจะเป็นลูกสาวทั้งคู่
หลงหลินเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ทุกวันก็ขลุกอยู่กับพวกยาสมุนไพร ไม่งั้นก็จะอยู่ในห้องหนังสือดูตำราวิชาการแพทย์ ดูเหมือนจะเพลิดเพลินจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลย เฉินเฟิงเองก็คิดอยากจะพูดคุยกับเธอบ้าง แต่ว่าเมื่อเห็นสายตาเธอแล้ว เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป
แต่ยังดีที่ว่าพูดคุยกับเฟิ่งซีได้ง่ายกว่า
“พวกคุณสองคนพี่น้องทำไมถึงได้มาอยู่ที่แบบนี้ตามลำพังได้ล่ะ หรือว่าคนที่บ้านก็ไม่สนใจแล้วเหรอ?”
วันหนึ่งหลังจากอาหารเย็นแล้ว ขณะที่เฟิ่งซีได้มาช่วยตรวจร่างกายของเฉินเฟิงนั้น เฉินเฟิงถาม
เฟิ่งซีก็ปักเข็มเงินเข้าไปในจุดรวมประสาทของเฉินเฟิง เธอพูดว่า “ฉันกับพี่สาวเป็นลูกกำพร้า หลังจากที่อาจารย์รับเลี้ยงพวกเราไว้ ก็ได้อาศัยอยู่ที่บ้านสวนแห่งนี้มาโดยตลอด อย่างมากก็ไปแค่หมู่บ้านซื้อของบางอย่าง ก็ไม่รู้ว่าโลกภายนอกมันเป็นยังไงเลย”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่าย รู้สึกไม่ค่อยให้ความสนใจกับประวัติส่วนตัวของตัวเองเท่าไรนัก เพียงแต่เมื่อพูดถึงเรื่องของโลกภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าความรู้สึกนึกคิดเต็มเป็นไปด้วยความโหยหา
เฉินเฟิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เดิมทีไม่น่าจะไปสืบหาเรื่องน่าเศร้าพวกนี้เลย เขาพูดอย่างสำนึกผิดว่า “ฉันไม่ควรจะถามเลย เพียงแต่ฉันนึกไม่ถึงว่าพวกคุณจะเป็นลูกกำพร้า แล้วอาจารย์พวกคุณล่ะ?”
เฟิ่งซีกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ก็ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว อาจารย์เลี้ยงพวกเราอย่างดี ความจริงเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นแล้ว ฉันกับพี่สาวนับว่าโชคดีมากเลย ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปถือโทษโกรธเคืองทั้งนั้น
สำหรับอาจารย์นั้น เมื่อปีที่แล้วเขาก็ได้เสียไปแล้ว ฉันกับพี่สาวเลยไหว้วานคนให้นำศพเขาไปฝั่งภายในสวนสมุนไพรบนเขานั้น ชั่วชีวิตของเขาก็อยู่กับพวกสมุนไพรมาตลอด เมื่อเขาสิ้นแล้วก็คงยังชอบดมกลิ่นหอมของพวกสมุนไพร คาดหวังว่าเขาคงชอบอย่างนั้น”
เฉินเฟิงก็นึกภาพตามคำพูดของเฟิ่งซี จินตนาการถึงรูปร่างหน้าตาของผู้เฒ่านั้น คิดว่าคงไม่แตกต่างอะไรกับหลิงหลงในตอนนี้ ที่คอยศึกษาค้นคว้าตำราวิชาการแพทย์ทั้งวันทั้งคืน หนำซ้ำยังปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนซกมกไปบ้าง
หลังจากคิดคิดดูแล้ว เฉินเฟิงก็ถามอีกว่า “งั้นพวกคุณก็พักอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ? ไม่คิดที่จะออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง”
เฟิ่งซีก็ได้ทำการฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้บนร่างของเฉินเฟิงก็มีเข็มเล็กๆปักอยู่เต็มไปหมด ดูราวกับเหมือนแม่นตัวหนึ่ง หลังจากที่เธอตรวจดูแล้วว่าไม่มีขาดเกิน จึงได้นั่งลงข้างเฉินเฟิง
ดูเหมือนแทบจะเป็นอย่างที่เฉินเฟิงพูดไว้เช่นนั้น มีความรู้สึกปรารถนาที่อยากจะไปสู่โลกภายนอก
“พี่สาวชอบที่นี่มาก ฉันกลับอยากจะออกไปดูโลกภายนอกบ้าง แต่ว่าพี่สาวไม่ยอมไปฉันก็เลยต้องยกเลิกความตั้งใจ ถ้าให้ฉันเลือกระหว่างไปข้างนอกกับอยู่กับพี่สาวแล้ว ความจริงฉันก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวมากกว่านะ”
เฉินเฟิงพูดอย่างตื้นตันใจว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของพวกคุณสองคนช่างดีจริงๆเลยนะ”
ส่วนเฟิ่งซีก็รู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ “นั่นเป็นเพราะว่าฉันชอบพี่สาวฉันมากที่สุดเลย เพียงแต่เธอไม่ค่อยชอบยิ้ม มักจะชอบทำหน้าบึ้งตึงเย็นชา แต่ความจริงแล้วพี่สาวก็อ่อนแอมากนะ ตอนที่อาจารย์เสียนั้น เธอก็มักจะรอให้ฉันนอนหลับก่อนแล้วแอบไปนั่งร้องไห้คนเดียว แล้วยังทำเป็นแกล้งไม่ให้ฉันรู้อีก ที่จริงเธอไม่รู้หรอกว่า ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินหมดแล้ว”
เฉินเฟิงก็หัวเราะ คาดเดาว่าสาวงามเย็นชาคนนั้นเวลาร้องไห้ขึ้นมาคงน่าสงสารมาก เพียงแต่สถานการณ์เช่นนี้คงไม่มีใครมีโอกาสที่จะได้เห็น
“ยังนึกไม่ออกเลยว่าหน้าตาตอนร้องไห้ของหลงหลินเป็นยังไง ฉันยังคิดว่าอย่างเธอนี่ไม่มีวันที่จะร้องไห้ได้เลย ตอนที่สบสายตาเธอ รู้สึกอุณหภูมิจะลดลงไปอีกสองสามองศาเลยแหละ”
“ใช่แล้ว นิสัยพี่สาวก็มักจะเป็นแบบนั้น แต่ว่าคุณอย่าไปบอกเธอว่าฉันพูดเรื่องของเธอล่ะ เดี๋ยวเธอจะโกรธขึ้นมา ฉันคงต้องบรรลัยแน่เลย เธอจะต้องให้ฉันขึ้นเขาไปจับงูลำพังคนเดียวแน่นอน ฉันเกลียดงูที่สุดเลยล่ะ”
“คุณกลัวงูเหรอ?”
“อื่ม ตัวลื่นไหลแบบนั้น เห็นแล้วก็รู้สึกขยะแขยง”
“เออ ใช่ล่ะ ถ้าพวกคุณไม่เคยออกไปข้างนอกเลย แล้วรู้จักกับหวั่นชีวได้ยังไงล่ะ เธอก็อยู่ยันเจียงมาตลอด หรือว่าพวกคุณเคยไปยันเจียงมาเหรอ?” เฉินเฟิงนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองสาวตระกูลฉางกับหวั่นชีว จึงได้ถามขึ้น
ดูเหมือนว่าเฟิ่งซีกำลังหวนกลับไปรำลึกความทรงจำในอดีต
“ตอนที่รู้จักกับหวั่นชีวนั้นก็เป็นเวลาผ่านมานานแล้ว ตอนเธอเด็กๆเคยมากับพ่อของเธอเพื่อมาหาอาจารย์รักษาโรคให้ ตอนนั้นเธอคนเดียวได้แต่จ้องมองพวกฉัน แต่ไม่กล้าที่จะพูดคุยด้วย ก็ได้แต่หลบอยู่ข้างหลังของพ่อเขา แต่เวลาที่อาจารย์รักษาโรคก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นอยู่ด้วย ต่อให้เป็นเด็กก็ไม่ได้”
“หลินชีงตี้เคยมาหาอาจารย์คุณรักษาโรคด้วยเหรอ?” เฉินเฟิงถามด้วยความประหลาดใจ
เฟิ่งซีมองไปยังเฉินเฟิงที่ท่าทีดูแตกตื่นเกินเหตุว่า “คนที่มาหาอาจารย์รักษาโรคมีตั้งเยอะแยะมากมาย ไม่เพียงแค่หลินชีงตี้คนเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ละก็ เขาคงตายไปนานแล้วล่ะ หลังจากที่อาจารย์เสียแล้ว ตอนนี้ก็มีคนเยอะแยะมากมายมารักษาโรคกับพี่สาวเลยนะ คุณก็เป็นคนหนึ่งในนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เฉินเฟิงคิดดูแล้ว ก็เป็นจริงอย่างที่พูดมา แต่ว่าก็ยังรู้สึกเซอร์ไพรส์มาก แม้แต่หลินชีงตี้ก็ยังต้องมาหาหมอถึงที่นี่เลย เช่นนั้นแล้ววิชาการแพทย์ที่ใช้รักษาของเขาจะน่าทึ่งขนาดไหน แต่จากนั้นเฉินเฟิงก็เลิกคิดเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะแม้แต่ความเจ็บปวดที่แปลกประหลาดภายในร่างกายตัวเองนั้นยังสามารถกำจัดไปจนหมดสิ้น ในโลกใบนี้วิชาการแพทย์เช่นนี้คงมีเหลือให้เห็นน้อยมากจริงๆ
ส่วนเฟิ่งซีก็พูดอธิบายเรื่องราวของหวั่นชีวต่อไป
“ยัยเด็กคนนั้น ตอนที่ถูกพ่อเธอไล่ออกมานั้น ร้องไห้จนกลายเป็นคนเจ้าน้ำตาไปเลย แต่ก็ไม่มีใครไปสนใจเธอ สุดท้ายแล้วก็มีแต่ฉันเอาตุ๊กตาที่ตัวเองรักที่สุดออกมาปลอบใจเธอ เธอถึงได้หยุดร้อง ระหว่างที่พ่อเธอรักษาโรคอยู่ที่นี่หลายวัน เธอก็เลยคุ้นเคยและสนิทกับพวกเราสองพี่น้อง หลังจากนั้นก็มีการติดต่อกันบ้างนิดหน่อย”
เฉินเฟิงพยักหน้า เขาก็ยังคงนึกถึงแต่หมอคนที่มีวิชาการแพทย์สูงส่งคนนั้น ทำไมกลับไม่ค่อยได้ยินชื่อของเขาเลย
ตอนนี้ เข็มที่ปักอยู่บนร่างของเฉินเฟิงก็ถึงเวลาที่ต้องดึงออกได้แล้ว เฟิ่งซีจึงดึงเข็มเงินออกมาทีละเล่มๆ หลังจากรักษาด้วยการฝังเข็มแล้ว ร่างกายก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ราวกับว่าได้ปลดปล่อยภาระหนักหน่วงที่แบกรับไว้ในตัวออกไปจนหมดสิ้น
“การรักษาด้วยการฝังเข็มเห็นผลดีจริงๆนะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายมากขึ้นทันทีเลย” เฉินเฟิงพูดอย่างตื้นตันใจ
เฟิ่งซีพูดว่า “เคล็ดวิชาการฝึกฝนวรยุทธ์ของคุณทำให้ลมปราณของตัวเองต้องแบกภาระหนักขึ้นมาโดยตลอด ดังนั้นทุกครั้งหลังจากที่ใช้เคล็ดวิชาพลังย้อนกลับแล้ว ก็จะทำให้ตะกรันที่อุดตันภายในลมปราณทั้งทั่วร่างเกิดการตีกลับอีกครั้งหนึ่ง ไม่ทำให้คุณเจ็บปวดเจียนตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณยังดีนะ สามารถที่เอามาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่กลัวว่าจะตายเพราะเหตุนี้เลย”
เฉินเฟิงก็รู้สึกไม่มีทางเลือก เขาก็ย่อมไม่อยากจะใช้เป็นธรรมดา แต่ทุกครั้งมันก็ด้วยเหตุสุดวิสัยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความโชคดีของเขาก็ได้ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เคยถึงขั้นตายเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหวสักที
“ค่อยๆปรับสภาพสมดุลเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตะกรันที่อุดตันภายในระบบลมปราณก็ได้ถูกสลายไปมากแล้ว ถ้าคุณยังใช้วิชาพลังย้อนกลับอีกละก็ น่าจะไม่รุนแรงขนาดนั้นแล้ว ถ้าหากสามารถรักษาถึงขั้นที่ไม่มีการอุดตันหลงเหลืออยู่อีกเลย คาดว่าคงไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว แต่ว่าก็เป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะเป็นอย่างนั้น มันเป็นปัญหาของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน” เฟิ่งซีบอกกับเฉินเฟิง
เฉินเฟิงไม่เคยคิดเลยว่าก็ยังมีความเป็นไปได้เช่นนี้อยู่เหมือนกัน ในใจก็ย่อมรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา จึงพูดกับเฟิ่งซีว่า
“ได้มาพบเจอกับพวกคุณ มันเป็นความโชคดีที่สุดของฉันจริงๆเลย”