ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 879
แต่ว่าในเมื่อหลงหลินไม่ติดใจเอาความ เขาก็ย่อมไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวอย่างแน่นอน
หลังจากที่กลับมาถึงห้องพักแล้ว นอนอยู่บนเตียง แต่ทำยังไงก็นอนไม่หลับ ในสมองก็ยังนึกถึงภาพเหตุการณ์น่าพิศวาสนั้นอยู่ตลอดเวลา ทรวดทรงองค์เอวอรชรอ้อนแอ้น ขาวใสอมชมพู
นอนพลิกตัวไปมาตลอดค่อนคืนจึงค่อยๆหลับไป
ตื่นมาในวันรุ่งขึ้น หน้าตาก็ดูทรุดโทรมไปมากทีเดียว
เมื่อเฟิ่งซีเห็นเขาแล้ว ก็พูดอย่างตกใจว่า “เมื่อคืนนี้คุณไปเป็นขโมยที่ไหนมาเหรอ? ทำไมถึงดูอ่อนเพลียขนาดนี้ล่ะ?”
เฉินเฟิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉันเป็นโจร หรือว่าแอบไปขโมยคุณมาเหรอไง?”
เฟิ่งซีชอบพูดหยอกล้อกับเขาบ่อยครั้ง จึงได้แต่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าคนผีทะเล”
แต่ว่าจากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณจะไปขโมยหรือไม่ฉันไม่รู้หรอก เจ้าตัวแสบอย่างคุณอาจจะคิดอยากจะแอบย่องเข้าไปหาใช่ไหมล่ะ?”
เฉินเฟิงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ เพียงแต่เป็นห่วงปฏิกิริยาของหลงหลินเท่านั้น เมื่อคืนนี้เธอสงบเงียบนิ่งเฉยเกินไป นี่มันไม่เหมือนหญิงสาวปกติทั่วไปที่จะสามารถทำได้เลย ดังนั้นเฉินเฟิงจึงรู้สึกกังวลใจว่าเธออาจจะไปทำอะไรนอกเหนือจากนั้นหรือไม่
“พี่สาวคุณตื่นหรือยังล่ะ?” เขาถาม
แต่ว่าเมื่อได้ยินเฉินเฟิงถามเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งซีก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา “คุณทำไมอยู่ดีๆก็ถามถึงพี่สาวล่ะ เมื่อคืนดูเหมือนว่าเธออ่านหนังสือจนดึกมาก ยังไม่ตื่นเลย”
เฉินเฟิงแอบคิดในใจว่า สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ ทำให้หลงหลินก็นอนไม่หลับเหมือนกัน
เฟิ่งซีมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ เฉินเฟิงจึงได้แต่หาเหตุผลมาอธิบายว่า “คือว่าเมื่อคืนตื่นมาตอนดึกเห็นไฟในห้องหนังสือยังไม่ปิด ก็เลยสงสัยถามดูเท่านั้นเอง”
แต่ว่าท่าทีของเฟิ่งซีที่ดูเหมือนไม่เชื่อ เฉินเฟิงจึงพูดว่า “งั้นคุณคิดว่ายังไงล่ะ ฉันคงไม่ได้คิดถึงพี่สาวคุณหรอกนะ”
เฟิ่งซีพูดด้วยหน้าตาทะเล้นว่า “แล้วใครจะไปรู้ล่ะ คุณอาจจะชอบนิสัยเยือกเย็นของพี่สาวฉันก็ได้นะ”
เฉินเฟิงก็ทำตาถลนใส่เธอ
ส่วนเฟิ่งซีกลับไม่สนใจ ได้แต่พูดต่อไปว่า “แต่ว่าถ้าคุณชอบพี่สาวฉันจริงๆ ฉันช่วยคุณได้นะ ถ้าหากพี่สาวมีเพื่อนคู่ใจแล้ว ฉันก็จะดีใจมากเลย”
เฉินเฟิงกลับเห็นท่าทีกังวลใจของเฟิ่งซีแล้ว นึกสนุกขึ้นมา จึงพูดกระเซ้าว่า “ถ้าพี่สาวคุณไปมีคนอื่นแล้ว งั้นคุณจะทำยังไงดีล่ะ ถึงเวลานั้นก็เหลือแต่คุณคนเดียวเลยนะ คุณไม่เหงาเหรอ?”
เฟิ่งซีพูดว่า “ถ้าพี่สาวเธอยอมตกลง ฉันก็จะตามพี่สาวไปด้วย แต่ถ้าเธอไม่ยอม ฉันก็จะอยู่ที่นี่จนแก่เฒ่า อยู่เป็นเพื่อนอาจารย์ไงล่ะ”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงที่ราบเรียบของหลงหลินดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“อะไรที่ว่ายอมหรือไม่ยอม แกพูดเพ้อเจ้ออะไรอีกแล้ว”
มองไปตรงหน้าประตู สีหน้าของหลงหลินก็ไม่ค่อยดีเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนจะกลบเกลื่อนเอาไว้ กลับดูไม่ค่อยรุนแรงเท่าไหร่นัก
เฉินเฟิงก็ได้แต่มองแค่แวบเดียว ก็รีบหลบสายตาไป ถึงแม้หลงหลินให้เขาลืมให้หมด แต่เรื่องอย่างนี้จะให้ลืมกันง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ส่วนหลงหลินก็ดูเหมือนว่าจะเลือกที่ไม่ไปมองเขา โดยปกติแล้วทั้งสองคนก็ไม่ค่อยได้พบเจอกันอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งหลีกเลี่ยงมากขึ้น
เฟิ่งซีก็รู้สึกแปลกๆไป แต่ก็พูดไม่ออกว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว เฉินเฟิงเดิมทีจะต้องไปช่วยพวกเธอบดยา แต่ว่าตอนนี้มีคนเดินมาจากทางไกลเข้ามาตามเส้นทางถนนสายเล็ก
เฉินเฟิงคาดเดาว่าน่าจะเป็นพวกคนที่มาหาหมอรักษาตามที่เฟิ่งซีเคยพูดไว้ก่อนหน้านั้น คนนั้นเดินเข้ามาในบ้านแล้ว ก็ตรงไปพบกับหลงหลิน ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็เดินจากไป
เฉินเฟิงก็อยู่แต่ในห้องยา ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
พอมาถึงตอนบ่าย เมื่อได้พบกับเฟิ่งซี เขาจึงถามขึ้นว่า
“ตอนเช้าคนนั้นเขามาหาหมอรักษาโรคเหรอ?”
เฟิ่งซีพยักหน้า “อื่ม คุณก็เห็นแล้วสิ เขามาหาหมอรักษาโรคจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตัวเขาเอง แต่กลับเป็นเจ้านายบ้านเขา”
เฉินเฟิงก็ถามอย่างอยากรู้ว่า “เป็นใครเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน พี่สาวก็ไม่ได้บอกฉัน แต่ว่าดูเหมือนน่าจะเป็นคนบ้านตระกูลใหญ่มีฐานะ”
“งั้นพวกเราต้องไปไหม? หรือว่าเจ้านายบ้านเขาจะมาเอง?”
“คงจะต้องออกไปรักษา ฉันเห็นพี่สาวดูเหมือนจะเตรียมกระเป๋ายาที่จะออกไปรักษาแล้ว”
เฉินเฟิงพยักหน้า ตัวเองกำลังครุ่นคิดว่าน่าจะเป็นคนอย่างไรกันแน่ ดูนิสัยของหลงหลินแล้ว ถ้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไปแล้วละก็ คงไม่มีทางที่จะช่วยรักษาให้หรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะออกไปรักษานอกสถานที่
เมื่อถึงตอนเย็น ก็มีรถเบนซ์คันหนึ่งมาถึงถนนปากทาง คนที่มาตอนเช้าคนนั้นก็เดินขึ้นมาจากเชิงเขาอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้หลงหลินและเฟิ่งซีก็ได้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ยืนรออยู่หน้าประตูทางเข้า ส่วนเฉินเฟิงก็ยืนอยู่ด้านข้าง พวกเธอคิดดูแล้วควรจะให้เฉินเฟิงตามไปด้วย จะได้ช่วยยกกระเป๋ายาก็ยังดี
หลังจากที่คนนั้นเดินขึ้นมาแล้ว มองดูเฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ แทบจะอึ้งไปสักครู่ อาจจะเพราะว่าเขานึกไม่ถึงว่าลานหลันจือแห่งนี้จะมีผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมา
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่ทักทายหลงหลิน แล้วจึงพาพวกเขาทั้งสามคนเดินลงจากเขา
ทั้งสามคนก็ทยอยขึ้นรถไป เฉินเฟิงก็ต้องนั่งอยู่ด้านหน้าเป็นธรรมดา ผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนขับรถระหว่างทางก็สงบเงียบ นอกจากเสียงพูดคุยไม่กี่คำของสองสาวที่อยู่ด้านหลังนั้นแล้ว ก็เงียบสงบไปตลอดเส้นทาง
แต่ว่าเมื่อมาถึงสถานที่นั้นแล้ว ประตูด้านหน้าของสวนป่าแห่งนี้ เฉินเฟิงก็เคยมาแล้ว
ที่นี่เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวตระกูลเชียน เฉินเฟิงก็เคยหลบหนีออกจากที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว เขาก็วนกลับมาที่นี่อีกรอบ
แต่ว่า นึกถึงเรื่องนั้นก็ไม่มีหลักฐานอะไรว่าเป็นฝีมือของเขา ตระกูลเชียนคงไม่กล่าวโทษเขาเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น อีกทั้งคนที่หนีไปนั้นก็ยังเป็นคนของตระกูลเชียนเอง ถ้าหากไม่มีหลักฐานอะไร คาดเดาว่าพวกเขาเองก็ไม่อยากจะแพ่งพายเรื่องนี้ออกมา
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่ รถก็มาถึงที่หน้าบ้านแล้ว
พี่น้องสองสาวตระกูลฉางดูเหมือนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความงดงามยิ่งใหญ่อลังการของบ้านพักอาศัยเช่นนี้ สายตาของเฟิ่งซีสำรวจดูรอบๆบริเวณอย่างไม่หยุดหย่อน แต่หลงหลินจะดูหนักแน่นมากกว่า
เฉินเฟิงลงมาจากรถเบนซ์คันนั้น กำลังคิดว่าคนของตระกูลเชียนคนไหนที่ไม่สบาย ส่วนเชียนสวนยี่ก็เดินเข้ามาหาแล้ว
เขามองแวบเดียวก็เห็นเฉินเฟิงแล้ว สะดุ้งเล็กน้อยด้วยท่าทางที่ไม่ปกติ แต่วันนี้มาต้อนรับพี่น้องสองสาวตระกูลฉาง เขาเดินมาต้อนรับถึงหน้าพี่น้องสองสาวตระกูลฉางด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“รบกวนท่านทั้งสองมาถึงที่บ้าน ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลเชียนเราก็รู้กติกามารยาทของทั้งสองท่านดี เพียงแต่ว่าท่านพ่อป่วยหนักมาก ไม่สามารถที่จะลงมาจากเตียงได้เลย ไม่เช่นนั้นก็จะต้องไปหาถึงที่บ้านแล้ว หวังว่าท่านทั้งสองคงให้อภัย”
หลงหลินพูดว่า “นายท่านเป็นเพื่อนเก่าของอาจารย์ฉัน ต่อให้ไม่มีสิ่งของที่เป็นสัญลักษณ์แทนนั่น ฉันกับน้องสาวสองคนก็ต้องมารักษาให้นายท่านถึงที่บ้านอยู่แล้ว ยังไงก็เป็นหน้าที่ของพวกเราผู้น้อยที่สมควรจะต้องทำอยู่แล้ว”
หลังจากที่ทักทายตามมารยาทแล้ว เชียนสวนยี่ก็มองไปยังเฉินเฟิงด้วยความแปลกใจแล้วถามว่า “ท่านทั้งสองก็รู้จักคุณเฉินด้วยเหรอ?”
พูดพลางสายตาทุกคนก็ย่อมมองไปยังเฉินเฟิงเป็นธรรมดา
“ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากวันนั้นคุณท่านจากไปอย่างไม่ร่ำลาแล้ว ถึงกับต้องมาพบกันในสภาพแบบนี้อีก เรื่องราวบนโลกนี้มันช่างไม่แน่นอนเสียจริงเลย คุณท่าน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้คงสบายดีนะ” เชียนสวนยี่ก็พูดกับเฉินเฟิงด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฟิงฟังแล้วว่าคำพูดของเขามีความหมายอื่นแฝงอยู่ เพียงแต่ยังรักษาหน้ากันอยู่ เขาย่อมไม่อยากจะเปิดโปงเรื่องของตัวเองออกมา จึงได้แต่พูดอย่างเกรงใจว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ชีวิตก็อยู่อย่างสบายดี”
หลังจากที่พูดจาตามมารยาทจบแล้ว เชียนสวนยี่ก็พาพวกเขาเข้าไป อย่างน้อยอาการป่วยของนายท่านตระกูลเชียนนั้นก็ย่อมต้องเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด