ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 885
เขาพูดขึ้น: “บางทีพวกเรากลับไปน่าจะดีกว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณสองพี่น้องจะมาอาศัย”
เฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะอยากถอย ทว่าสิ่งที่เขากลัวไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นห่วงพี่น้องคู่นี้ พวกเธอเป็นดังบัวหิมะที่ไม่เคยเปอะเปื้อนในหุบเขาลึก ฉะนั้นจึงไม่ควรมาแปดเปื้อนด้วยเรื่องพวกนี้
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เฟิ่งซีจะปฏิเสธ: “ฉันคิดว่าต่อให้พี่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เธอคงจะไม่ยอมไปจากที่นี่อยู่ดี พี่เป็นคนมีนิสัยดื้อรั้น ถ้าหากมีคนไม่ต้องการให้พี่ไปช่วยชีวิตใครคนไหน ต่อให้เขาคนนั้นจะตายไปแล้วพี่ก็จะพยายามจนถึงที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเขาคนนั้นกลับมา”
เฉินเฟิงรู้ดีว่าเฟิ่งซีคงจะเข้าใจในตัวหลงหลินมากที่สุด ถ้าหากเธอพูดถึงขั้นนี้ อย่างนั้นความจริงก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
เฟิ่งซีที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ เฉินเฟิงมีสีหน้าที่ซีดขาว เฉินเฟิงที่เพิ่งจะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ตัวของเฟิ่งซีก็ฟุบล้มไปอีกทางแล้ว
เฉินเฟิงรีบดึงตัวเธอมาด้านหน้าไม่ให้เธอล้มไปกระแทกกับพื้นโดยตรง
ก่อนจะโอบเฟิ่งซีไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเฉินเฟิงก็พยายามเรียกชื่อของเฟิ่งซีด้วยเสียงเบาๆ
“เฟิ่งซี ตื่นๆ คุณเป็นอะไรไป ?”
และเพียงครู่เดียว เฟิ่งซีก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา และเมื่อได้เห็นเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง เธอกลับไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะผลักเขาออกไปในทันที เป็นเพราะร่างกายของเธออ่อนแรงอย่างมาก ซึ่งเธอก็เข้าใจดี
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่อาการอ่อนเพลีย คุณช่วยพยุงฉันไปนั่งก่อนเถอะ”
เฉินเฟิงทำตามที่เธอบอกโดยการพยุงเฟิ่งซีไปนั่งยังเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องของหลงหลิน
ตอนนี้ร่างกายของเฟิ่งซีอ่อนแรงอย่างมาก บนร่างกายของเธอก็มีกลิ่นสมุนไพรจางๆ แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นฉุนรุนแรงเช่นเดียวกับหลงหลิน ทั้งยังเป็นกลิ่นที่คละเคล้ากับกลิ่นหอมของผู้หญิงอีกด้วย
เมื่อมีหญิงงามอยู่ในอ้อมแขน เฉินเฟิงก็เกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปคิดเรื่องพวกนี้ หลังจากที่เขาวางตัวเฟิ่งซีให้นั่งลงอย่างมั่นคง ตัวเองจึงนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ พร้อมกล่าวถาม: “ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เฟิ่งซีเอนตัวฟุบลงไปบนโต๊ะแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา: “ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
จากนั้นก็พยายามแสดงรอยยิ้มออกมาพูดกับเฉินเฟิงอีกครั้ง : “ท่าทางแบบนี้ของคุณ มันทำให้น่าประทับใจมากเลยนะ ผู้หญิงมักจะทนไม่ไหวกับการกระทำแบบนี้ที่สุดแล้ว”
เฉินเฟิงที่เห็นว่าเธอยังพูดจาหยอกล้อได้ ถึงค่อยคลายความกังวลในใจลง คงเป็นเพราะตอนนี้เธออ่อนล้าเกินไป ดังนั้นเขาจึงพูดจาหยอกล้อกับเฟิ่งซี : “สามารถทำให้ประทับใจได้ก็ถูกแล้ว เพราะอย่างน้อยมันทำให้รู้ว่าผมก็ยังมีเสน่ห์ชวนหลงใหล”
เฟิ่งซีกลอกตาใส่เขาพร้อมกับพูด: “ยังไงคุณก็แค่คนไม่ปกติ ถ้าพี่สาวรู้เข้า คงจะต้องด่าคุณว่าสารเลวแน่นอน”
เดิมทีเฉินเฟิงคิดอยากจะช่วยประคองเฟิ่งซีกลับไปที่ห้อง แต่เธอกลับปฏิเสธ เพราะเธอคาดว่าใกล้ถึงเวลาที่หลงหลินควรจะตื่นแล้ว และเธอคิดว่าหากในตอนที่พี่สาวฟื้นขึ้นมา แล้วไม่พบเธออยู่ตรงนี้ หลงหลินจะต้องเกิดความกังวลใจแน่นอน
เฉินเฟิงที่ได้ยินอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจในความสัมพันธ์ของพวกเธอสองพี่น้อง
และก็เป็นเหมือนดังที่เฟิ่งซีได้พูดเอาไว้ไม่มีผิด เพราะมีการเสียงการเคลื่อนไหวดังขึ้นมาจากเตียงของหลงหลิน ราวกับว่าหลงหลินได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว
“คุณรีบเข้าไปดูเร็ว” เฟิ่งซีรีบบอกกับเฉินเฟิง
แน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่รอให้เฟิ่งซีได้สั่ง เขาก็ได้เดินไปก่อนแล้ว
และทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เฟิ่งซีได้พูดเอาไว้ เพราะเมื่อหลงหลินลืมตาขึ้นมาแล้วได้พบกับเฉินเฟิงเป็นคนแรกแทน คำถามแรกที่เธอถามออกมาก็คือ : “เฟิ่งซีเป็นยังไงบ้าง ?”
“เธอไม่เป็นอะไร เธอนั่งอยู่ตรงนั้น”
เฉินเฟิงชี้ไปยังตำแหน่งที่เฟิ่งซีกำลังนั่งอยู่ให้เธอดู หลงหลินจึงหันหน้าตามไปก็ได้เห็นว่าเฟิ่งซีกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นจริงๆ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะไม่ค่อยสู้ดีมากนัก แต่เธอก็สามารถรับรู้ได้ว่า เฟิ่งซีเพียงแค่อ่อนล้าเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงสงบใจลงไปมาก
จากนั้นเธอถึงค่อยบอกกับเฉินเฟิง: “คุณช่วยรินน้ำให้ฉันสักแก้วหน่อยได้หรือเปล่า?”
เธอรู้สึกเกรงใจอย่างมาก ส่วนเฉินเฟิงก็รีบเดินไปยังโต๊ะพร้อมกับรินน้ำหนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินกลับมายื่นให้กับหลงหลิน แต่การนอนอยู่บนเตียงมันสร้างความไม่สะดวก ทั้งด้วยปัญหาจากบาดแผลด้วย เธอจึงไม่มีปัญญาที่ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง และทำได้เพียงแค่ร้องขอกับเฉินเฟิงอีกครั้งเท่านั้น : “ช่วยประคองฉันขึ้นหน่อย”
เฉินเฟิงนั่งลงไปตรงขอบเตียงของหลงหลิน พร้อมกับเอื้อมมือไปประคองหลังของหลงหลินเอาไว้ โดยที่ร่างกายนั้นเพรียวบางไม่ถึงครึ่งไหล่ของเฉินเฟิงด้วยซ้ำ
เฉินเฟิงค่อยๆ ประคองเธอขึ้นมา ทำให้เขาพอจะมองเห็นผิวละเอียดสีขาวนวลบนต้นคอของหลงหลินพร้อมทั้งขนจางๆ ที่กำลังขยับไปตามการเคลื่อนไหว
เฉินเฟิงรีบตวาดสายตาออกไปทางอื่น ส่วนหลงหลินที่เพิ่งลุกขึ้นนั่งก็ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของเขา และเพียงแค่ดื่มน้ำในมือของเฉินเฟิงโดยไม่พูดอะไร
แต่เมื่อไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอจึงไร้ซึ่งหนทางและได้เพียงแค่ใช้ปากพยายามดื่มน้ำแก้วนี้ให้หมด พร้อมกับยื่นหน้าลงไปดื่มน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
ทางด้านเฉินเฟิงที่สังเกตเห็นเขาจึงค่อยๆ ยกแก้วน้ำขึ้นให้หลงหลินได้ดื่มน้ำในแก้วจนหมด
กระทั่งดื่มน้ำเสร็จ เฉินเฟิงจึงนำแก้วน้ำกลับไปวางที่เดิม ในขณะที่หลงหลินแสดงท่าทีเหมือนจะยังต้องการน้ำเพิ่มอีก
แต่แล้วเธอกลับไม่ได้ร้องขอเพิ่ม เพียงแต่มองไปยังเฉินเฟิงที่อยู่ข้างกาย เพราะว่าตอนนี้เฉินเฟิงเป็นคนที่ประคองเธอขึ้นมาดังนั้นจึงทำให้ทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างมาก
และนั่นทำให้กลิ่นเฉพาะที่มีในร่างกายของผู้ชายลอยเข้ามาในจมูกของเธออย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลิ่นแบบนี้ทำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
ก่อนจะพูดกับเฉินเฟิงด้วยเสียงเบาๆ : “เอาล่ะ วางฉันลงนอนเถอะ”
ถึงแม้เฉินเฟิงจะรู้สึกสบายเวลาที่มีร่างกายอันอ่อนนุ่มนี้อยู่ในอ้อมแขน แต่เพราะไม่ต้องการให้หลงหลินเข้าใจเขาผิด และด้วยความที่ทั้งสองเคยมีเรื่องขุ่นเคืองกันมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเธอพูดจบ เขาจึงวางตัวเธอลงไปอย่างว่าง่าย
และในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่าพี่สาวไม่เป็นอะไรแล้ว เฟิ่งซีจากที่มีความหดหู่ใจก็ค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลง เธอที่ไม่อยากจะรบกวนเวลาพักผ่อนของหลงหลิน จึงเข้าไปพูดคุยกับหลงหลินสองสามคำก็เดินออกมาพร้อมกับเฉินเฟิง
ซึ่งในขณะที่กำลังเดินออกประตูไปก็เห็นเชียนสวนยี่เดินเข้ามาพอดี
เพราะว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในบ้านตระกูลเชียน เขาเองจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก และอันที่จริงเมื่อวานนี้เขาอยากจะเข้าไปกล่าวขอโทษจนแทบทนไม่ได้ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นมีเพียงแค่เฟิ่งซีที่ยังมีสติ และเฟิ่งซีเองก็ดูเป็นห่วงหลงหลินอย่างมาก จึงทำให้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะมาพูดคุยกับเชียนสวนยี่มากนัก
ดังนั้นวันนี้จึงได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ซึ่งเขามาที่นี่ก็เพื่อกล่าวคำขอโทษ และทางด้านเฉินเฟิงที่เห็นเขาก็รู้สึกโกรธเคืองอย่างมากเช่นกัน
เขาคิดเสมอว่าการอยู่ในบ้านตระกูลเชียนจะต้องมีความปลอดภัยอย่างมาก เพราะพวกเขาถือเป็นตระกูลที่มีอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในทะเลทรายแห่งนี้ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาดันต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เสียได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เฉินเฟิงโกรธได้อย่างไร
ดังนั้นประโยคแรกที่เขาพูดต่อเชียนสวนยี่จึงเป็นคำด่าทอ: “ตระกูลเชียนได้รับการขนานนามว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ ทั้งยังเป็นจักรพรรดิแห่งทะเลทราย แล้วทำไมถึงได้ถูกคนอื่นบุกเข้าบ้านแบบนี้ซะได้ ทั้งยังสามารถทำร้ายคนอื่นได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก ผมว่าชื่อเสียงของพวกคุณมันก็เป็นแค่เรื่องจอมปลอมเท่านั้นล่ะมั้ง”
คำพูดถากถางแบบนั้น เชียนสวนยี่ที่ได้ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าในใจเฉินเฟิงนั้นมีความโกรธเคืองซ่อนอยู่ แต่เพราะเป็นความผิดของพวกเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะไปโต้แย้งอะไรได้ และได้เพียงแต่ปล่อยให้เฉินเฟิงพูดไป
“นับเป็นความผิดของพวกเราจริงๆ พวกคุณเดินทางมายังตระกูลเชียนของเรา เพื่อที่จะให้การรักษาคุณพ่อ แต่กลับต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เสียได้ ถือเป็นความผิดที่ตระกูลเชียนดูแลพวกคุณได้ไม่ดี พวกเรายอมรับผิดแต่โดยดี ”
จากนั้นเฉินเฟิงก็พูดคำหยาบมากมายออกมา แต่เชียนสวนยี่ก็ได้เพียงแต่รับฟังเท่านั้น และไม่กล้าที่จะไปต่อเถียงอะไรด้วย จนถึงขนาดที่เฟิ่งซีทนดูต่อไปอีกไม่ได้
“พอแล้ว นี่ก็ไม่ได้เป็นความผิดของตระกูลเชียนซะหน่อย พวกเขาเองก็ไม่ได้ต้องการให้พวกเราได้รับบาดเจ็บหรอกนะ”
เชียนสวนยี่ที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบกล่าวขอบคุณทันที: “ขอบคุณความเห็นใจจากคุณหนูจริงๆ แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นปัญหาของตระกูลเชียน ตอนนี้ผมได้จัดให้คนตระกูลเชียนของเรามาปกป้องดูแลลานเล็กหลังนี้เอาไว้อย่างดี และจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีกแน่นอน พวกคุณโปรดวางใจได้เลย”
เฉินเฟิงที่มองดูก็พอเข้าใจว่าเขานั้นไม่ได้แสแสร้ง แต่ด้วยความโกรธที่ยังมีอยู่ในใจ จึงไม่ได้ตอบกลับอะไร
ส่วนเฟิ่งซีก็กล่าวขอบคุณอีกครั้งเท่านั้น