ลูกเขยมังกร - ตอนที่ 892
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ความหวาดกลัวย่อมเป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว ถือได้ว่าเป็นภัยพิบัติที่น่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
เฟิ่งซีถึงกับตกใจกลัวจนน้ำตาจะไหลออกมา แต่ในขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งดังขึ้น
“เฟิ่งซี นี่ฉันเอง ฉันจะปล่อยคุณนะ แต่คุณห้ามส่งเสียงดังออกมาล่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของเฉินเฟิงแล้ว เฟิ่งซีก็วางใจ แต่ดูเหมือนนึกขึ้นได้ว่าถึงแม้จะเป็นเฉินเฟิงก็ตาม เขาก็ไม่สมควรที่จะทำเช่นนี้ จึงคิดอยากจะต่อว่าเฉินเฟิง
เฟิ่งซีได้แต่ดิ้นรนอยู่เช่นนั้น กลับไม่พยักหน้าตอบรับออกมา เฉินเฟิงไม่รู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร ก็ยิ่งไม่กล้าปล่อยมือ จึงพูดขึ้นว่า “ข้างนอกมีคนอยู่ พวกเราอย่าทำให้พวกเขาไหวตัวทัน ถ้าคุณฟังเข้าใจแล้วก็พยักหน้าด้วยนะ”
คราวนี้เฟิ่งซีก็เข้าใจแล้ว จึงรีบพยักหน้าให้เฉินเฟิง
หลังจากหลุดออกมาได้แล้ว เฟิ่งซีก็สูดลมหายใจลึกๆเข้าไป แล้วมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความตื่นตกใจ พูดด้วยเสียงเบาๆว่า “มีคนอยู่ข้างนอกเหรอ?”
เฉินเฟิงพยักหน้า
“เป็นใครกันเหรอ? จะมาทำร้ายพวกเราใช่มั๊ย?”
เฉินเฟิงตอบว่า “ไม่รู้สิ แต่ไม่ใช่คนดีแน่นอน คุณรีบหาที่หลบซ่อนตัวไว้ก่อน ฉันจะข้ามไปบอกเตือนหลงหลินก่อน”
เฟิ่งซีลากตัวเฉินเฟิงไว้ แทบจะไม่อยากให้เขาจากไปเลย “ฉันกลัว!”
เฉินเฟิงได้แต่ปลอบโยน “แล้วฉันจะปกป้องพวกคุณเอง คุณรีบซ่อนตัวไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจะพาหลงหลินเข้ามา ฉันรับรองว่าจะรีบกลับมา”
เฉินเฟิงจับมือที่อ่อนนุ่มของเฟิ่งซีไว้ ความอ่อนนุ่มของเพศตรงข้ามเช่นนั้น เฉินเฟิงก็เคยได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าทุกครั้งที่จับมือเฟิ่งซีนั้น ก็มักมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ตอนนี้ในความนุ่มนวลนั้น แฝงด้วยความกลัวและสั่นสะท้าน
เฉินเฟิงกุมมือเธอไว้แน่น เพื่อส่งต่อความมั่นใจให้กับเฟิ่งซี เธอจึงพูดด้วยท่าทีราวกับไม่อยากให้จากไปว่า “งั้นคุณก็ต้องปกป้องพี่สาวให้ดีด้วยนะ”
เฉินเฟิงพยักหน้า หลังจากที่ปล่อยมือเฟิ่งซีแล้ว ก็รีบเดินไปยังห้องของหลงหลิน
แต่เพิ่งจะเดินเข้าไปถึง ก็พบว่าประตูห้องนอนของหลงหลินเปิดออกไว้แล้ว ภายในห้องก็เปิดไฟสว่างไว้ ในใจของเขาร้อนดั่งไฟลน รีบบุกเข้าไปทันที
ภายในห้องไม่มีแม้แต่เงาของหลงหลินแล้วจริงๆ แต่มองเข้าไปข้างใน ก็ไม่พบร่องรอยของการต่อสู้เลย ดูราวกับว่าหลงหลินเดินออกไปเอง
มองดูรอบๆแล้ว เฉินเฟิงก็ไม่พบเห็นเงาร่างคนอื่นเช่นกัน คาดเดาว่าอาจจะถูกไอ้คนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว
เฉินเฟิงก็ไม่กล้าที่จะอยู่นาน ในใจนึกเป็นห่วงเฟิ่งซี ดีที่ห้องนอนของทั้งสองคนห่างกันไม่ไกลนัก เดินอ้อมกำแพงมาก็ถึงแล้ว
ยังดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อมาพบเฟิ่งซีที่แอบซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอนแล้ว เฟิ่งซีก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “พี่สาวฉันล่ะ”
เฉินเฟิงปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงได้แต่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
เฟิ่งซีก็น้ำตาไหลออกมาทันที เฉินเฟิงก็รีบปลอบใจว่า “อย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องไห้แล้ว พวกเรายังต้องไปช่วยพี่สาวคุณอีกนะ”
แต่ห้ามยังไงก็ไม่ยอมหยุด เฉินเฟิงจึงปล่อยเลยตามเลย ได้แต่พูดว่า “ฉันจะปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้……”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องของเฟิ่งซีก็ถูกคนผลักออก เงาร่างสองคนกระโดดเข้ามา
ส่วนพวกเขาเห็นว่าภายในห้องมีคนสองคนยืนอยู่ ก็รู้สึกตื่นตกใจเช่นกัน แต่ว่าเฉินเฟิงก็ไม่รอให้พวกเขาตอบโต้เลย รีบซัดออกไปสองหมัดลงไปยังศีรษะของพวกเขาสองคน
ทั้งสองคนล้มลงอย่างน่าสงสาร แม้แต่เสียงร้องก็ยังไม่ทันตะโกนออกมาเลย
“รีบหนีเร็ว!” รู้ว่าพวกเขาเริ่มลงมือแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่มาโอ้เอ้อีกแล้ว เฉินเฟิงจึงรีบลากเฟิ่งซีหลบหนีออกไป
เพิ่งจะออกจากประตู ก็มีคนพบพวกเขาทันที จึงรีบวิ่งไล่ตามไป
เฉินเฟิงไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้มาก อีกอย่างเขาก็เกรงว่าเฟิ่งซีอาจจะถูกลูกหลงไปด้วย ดังนั้นจึงได้แต่ลากตัวเฟิ่งซีหนีต่อไป
แต่หลังจากวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เห็นว่าเฟิ่งซีวิ่งช้ามาก เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบอุ้มเธอไว้ในอ้อมกอด แล้ววิ่งตรงไปยังด้านนอก
เฟิ่งซีได้แต่ตกใจกลัว เมื่อเฉินเฟิงอุ้มเธอไว้ เธอก็ไม่ขัดขืน หนำซ้ำยังรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
แต่ว่าเมื่อนึกถึงหลงหลินขึ้นมา ในใจเธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
วิ่งออกไปจนถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว เฉินเฟิงก็เห็นมีรถคันหนึ่งจอดอยู่ทางถนนด้านนอก ก็แน่ใจว่าเป็นรถของคนพวกนั้นแน่นอน
ส่วนเฉินเฟิงก็นึกขึ้นมาได้ว่า หลงหลินอาจจะอยู่ข้างในนั้นก็ได้
แต่ว่าในเวลานี้เอง ไอ้พวกคนที่กำลังวิ่งไล่ตามเขาอยู่ข้างหลังนั้นก็ได้วิ่งออกมาถึงแล้ว เสียงที่ตะโกนดังลั่นก็ทำให้ไอ้พวกคนที่อยู่ด้านนอกนั้นได้ยินกันหมดแล้ว
ดังนั้นสถานการณ์ของเฉินเฟิงตอนนี้ ก็ดูเหมือนกับเป็นลูกแกะน้อยที่ถูกล้อมเอาไว้เพื่อรอการเชือดเท่านั้นเอง
ในขณะนั้น เฉินเฟิงสังเกตเห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนสลบอยู่ในรถคันหนึ่ง เฉินเฟิงจึงไม่คิดอะไรอีกแล้ว รีบวิ่งตามไปทันที
เฟิ่งซีก็เห็นข้างในรถนั้นเหมือนกัน จึงตะโกนว่า “พี่สาวฉัน เฉินเฟิงรีบตามไปเร็ว”
เฉินเฟิงก็รีบออกแรงวิ่งสุดฤทธิ์ พยายามวิ่งไล่อย่างเต็มที่เพื่อจะตามไปให้ทัน แต่ว่ารถคันนั้น เดิมทีก็ได้สตาร์ทเครื่องยนต์รออยู่ก่อนแล้ว รอให้หลงหลินขึ้นรถก่อน แล้วจึงขับออกไปทันที
ไม่ว่าเฉินเฟิงจะวิ่งด้วยความเร็วขนาดไหน เขาก็ไม่มีทางที่จะวิ่งไล่ทันความเร็วของรถเบนซ์คันหนึ่งที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดได้เลย
“เฉินเฟิง พี่สาวฉันถูกคนพวกนั้นจับตัวไปแล้ว” ในใจของเฟิ่งซีก็ร้อนรนขึ้นมาทันทีส่วนเฉินเฟิงก็ไม่มีเวลาที่จะไปพูดคุยกับเธอแล้ว
ไอ้พวกคนที่มาขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขายังมีอาวุธครบมือทั้งสามคน บุกตรงเข้ามายังเฉินเฟิง
มือทั้งสองข้างของเฉินเฟิงที่อุ้มเฟิ่งซีไว้จึงทำอะไรไม่ถนัด แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ตาม เขาก็ยังยกขาขึ้นกระโดดเตะไปยังลำตัวของฝ่ายตรงข้ามหลายที พลังแรงที่เตะนั้นหนักราวกับน้ำหนักพันชั่งที่ถล่มทับลงมา จนทำให้ไอ้คนพวกนั้นต่างก็ล้มลงไปกับพื้น จนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
ทิ้งให้ไอ้คนพวกนั้นนอนระเนระนาดไว้ข้างหลัง เฉินเฟิงก็วิ่งมาจนถึงรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง เขาเปิดประตูรถออก แล้วให้เฟิ่งซีเข้าไปนั่งข้างใน จากนั้นตัวเองก็ไปนั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถ
ก่อนที่ไอ้พวกคนที่วิ่งไล่ตามหลังมานั้นยังไม่ทันที่จะมาประชิดตัวเขา เฉินเฟิงก็ขับรถออกไปเสียก่อนแล้ว
จากนั้นก็รีบขับไล่ตามรถคันที่เพิ่งขับออกไปได้ไม่นานนัก ก็ยังเห็นไฟท้ายรถของคันหน้าได้
ด้วยความเร็วรถที่รวดเร็วมาก เฉินเฟิงเหยียบคันเร่งจนมิด
เฟิ่งซีเพิ่งจะได้นั่งลง แต่ก็ต้องไถลตกลงจากเบาะเก้าอี้รถอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่เคยมีประสบการณ์นั่งรถเร็วเช่นนี้มาก่อนเลย รอให้นั่งตั้งตัวไว้ได้แล้ว จึงรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งสองข้างทางด้านนอกหายแวบไปกับตาอย่างรวดเร็ว
เดิมทีคิดว่าความเร็วรถที่วิ่งน่าจะคงที่ได้ในไม่ช้า แต่กลับพบว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า เฉินเฟิงจึงหักพวงมาลัยรถไปอีกทาง วิ่งหลบอ้อมพ้นไปได้อย่างไม่ทันระวังตัว
แต่ว่าคราวนี้กลับทำให้เฟิ่งซีหล่นลงมาจากเบาะที่นั่งรถอีกครั้งหนึ่ง
“คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ด้วยสิ” เฉินเฟิงไม่ได้หันไปมองเธอ สายตายังจดจ้องไปตรงข้างหน้า
มีเพียงแค่แสงไฟหน้ารถคันหนึ่ง ประกอบกับไฟข้างทางที่สลัวๆ ด้วยความเร็วขนาดนี้ ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาละก็ งั้นมันก็ไม่แตกต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย
แต่ว่าในใจของคนทั้งสองต่างก็เป็นห่วงหลงหลิน จึงไม่ได้คิดที่จะลดความเร็วลงแต่อย่างไรเลย ในใจของเฟิ่งซีว้าวุ่นมาก แต่ว่าหลังจากที่คาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว จุดสนใจทั้งหมดก็มุ่งเป้าไปยังรถคันข้างหน้ามากขึ้น
ยิ่งเข้าใกล้รถคันนั้นมากขึ้นแล้ว ในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็ได้สังเกตเห็นเฉินเฟิงแล้ว ถึงกับเร่งความเร็วรถให้ทะยานขึ้นเช่นกัน เพียงแค่พริบตาเดียวความเร็วรถก็ตามทันความเร็วของเฉินเฟิงแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างฝ่ายต่างก็รักษาระยะห่างไว้ แทบจะไม่ให้เข้าใกล้กันได้อีกเลย
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้คนเป็นห่วงนั้นก็คือ หลงหลินก็ยังอยู่ข้างในรถคันนั้น ถ้าฝ่ายตรงข้ามควบคุมไม่ดีแล้วละก็ หลงหลินจะต้องมีอันตรายเช่นกัน เฉินเฟิงถึงกับคิดว่าควรจะลดความเร็วลงหรือไม่ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของหลงหลิน